ในภาษาไทย มีคำว่า “ทะเล่อทะล่า” ใช้งานอยู่
“ทะเล่อทะล่า” หมายถึง อาการที่ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างพรวดพราดโดยไม่ระมัดระวัง หรือไม่ถูกกาลเทศะซึ่งผมคิดว่า เวลานี้ มี “นักมนุษยธรรมทะเล่อทะล่า”เกิดขึ้นในสังคมไทยเป็นจำนวนมาก
หนึ่งในผู้ปรารถนาดีด้าน “มนุษยธรรม” ท่านหนึ่ง ที่ผมเห็นจากข่าวแล้ว อดนำมาชั่งน้ำหนักดูไม่ได้เลยว่า เข้าข่าย“ทะเล่อทะล่า” หรือไม่ คือ นพ.ฆนัท ครุธกูล ในฐานะนายกสมาคมสมาพันธ์สถานประกอบการเพื่อสุขภาพและผู้สูงอายุ
1) นายแพทย์ฆนัท กล่าวว่า ในสถานการณ์ที่ยังคงมีความตึงเครียดและปะทะประปรายตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะในบริเวณปราสาทตาควาย ตาเมือนธม และตาเมือนโต๊ด ซึ่งตั้งอยู่ภายในเขตแดนของประเทศไทย ได้มีทหารกัมพูชาหลายรายเสียชีวิต และยังไม่มีการเก็บกู้หรือรับศพกลับประเทศ แม้ฝ่ายไทยจะพยายามประสานผ่านช่องทางต่าง ๆ เพื่อส่งคืนศพตามหลักมนุษยธรรม แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีท่าทีตอบรับจากรัฐบาลกัมพูชาอย่างเป็นทางการ
2) ผมคิดว่า แค่อารัมภบทนี้ ก็มี “ความคลาดเคลื่อน” จากความเป็นจริงไปแล้ว เท่าที่ติดตามข้อมูลดูนั้น การไม่เก็บกู้หรือรับศพกลับของกัมพูชา มิได้เกิดขึ้นในพื้นที่อ้างสิทธิของฝ่ายไทย ที่ปราสาทตาควายตาเมือนธม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ตาเมือนโต๊ดซึ่งอยู่ลึกเข้ามาในพื้นที่ประเทศไทยมากโขอยู่ มีเพียงศพทหารกัมพูชาบนภูมะเขือเท่านั้น ที่ทางการไทยเข้าไปยึดคืนพื้นที่ และดำเนินการเก็บศพพร้อมนำส่งกัมพูชาอย่างมีมนุษยธรรม และฝ่ายกัมพูชาก็รับไปแล้ว ดังนั้น เมื่อ “กลัดกระดุมเม็ดแรก” คลาดเคลื่อนกระดุมเม็ดที่ตามมาก็จะตั้งอยู่บนเม็ดแรกที่กลัดผิดไปด้วย
3) นพ.ฆนัท กล่าวว่า สาเหตุที่ประเทศไทยไม่สามารถปฏิเสธการจัดการศพได้ เพราะ
1. เพราะศพอยู่บนผืนดินของไทย ประเทศไทยในฐานะรัฐเจ้าของพื้นที่มีหน้าที่โดยตรงที่จะต้องจัดการศพที่อยู่ในเขตอธิปไตยของตน ไม่ว่าศพนั้นจะเป็นของฝ่ายใด การเพิกเฉยจะทำให้ถูกตั้งข้อสังเกตจากนานาชาติในฐานะรัฐที่ละเลยสิทธิมนุษยชน
2. เพื่อเคารพศักดิ์ศรีของผู้ตาย ตามหลักมนุษยธรรม ซึ่งการปล่อยให้ศพทหารกัมพูชาเน่าเปื่อย ถูกกินโดยสัตว์ หรือกลายเป็นภาพที่บั่นทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์นั้น ขัดต่อจารีตของไทยเอง และยังขัดต่อหลักสากลในด้านสิทธิของผู้เสียชีวิต
3. เพื่อป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อ โดยศพที่เน่าเปื่อยในพื้นที่ป่าเขตร้อน มีโอกาสเป็นแหล่งขยายพันธุ์ของเชื้อโรค โดยเฉพาะจากแมลงวัน หนู หรือการรั่วไหลของสารคัดหลั่งจากศพลงแหล่งน้ำ อาจนำไปสู่โรคฉี่หนู หรือ Leptospirosis, ไข้เลือดออก, อหิวาต์ ฯลฯ
4.เพื่อดำเนินการตามอนุสัญญาเจนีวา 1949 (ฉบับที่ 1 และ 3) โดยอนุสัญญา ฉบับดังกล่าว ระบุชัดเจนว่า รัฐคู่สงครามต้องจัดการศพของทหารฝ่ายตรงข้ามอย่างเหมาะสม และพยายามแจ้งข้อมูลต่อฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเก็บข้อมูลอัตลักษณ์อย่างเป็นระบบ
4) สิ่งที่คุณหมอฆนัท กล่าวมานั้น ดีและมีเหตุผล แต่มันไม่ได้ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริง ในทางอ้อม มันจึงกลายเป็น “ข้อตำหนิ” กองทัพไทยไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง
5) หมอฆนัทยังบอกอีกว่า สำหรับแนวทางการดำเนินการจัดการศพ ของประเทศไทย นั้นในฐานะแพทย์คนหนึ่ง ตนขอเสนอแนะ ต่อไปนี้
1. ประกาศท่าทีอย่างเป็นทางการ ว่าไทยมีเจตนารมณ์ในการจัดการศพทหารกัมพูชาอย่างมีมนุษยธรรม
ยืนยันว่า พื้นที่ที่พบศพอยู่ในเขตแดนไทย ไม่ใช่การรุกล้ำ พร้อมทั้งเชิญฝ่ายกัมพูชา หรือองค์กรกลางอย่าง ICRC เข้าร่วมสังเกตการณ์
2. ดำเนินการจัดการตามมาตรฐานสากล โดย จัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจประกอบด้วย หน่วยเก็บกู้ระเบิด (EOD) หน่วยแพทย์นิติเวช/สาธารณสุข หน่วยประสานต่างประเทศ/สิทธิมนุษยชน โดยต้องสวนใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE ) เพื่อป้องกันการติดเชื้อ และป้องกันพาหะนำโรค พิสูจน์อัตลักษณ์เบื้องต้น (ภาพถ่าย, DNA, หมายเลขประจำตัว) ฝังศพในพื้นที่ควบคุม พร้อมป้าย/พิกัดชัดเจน
3. บันทึกและแจ้งข้อมูลอย่างโปร่งใส โดยทำบันทึกภาพ-พิกัด GPS-บันทึกคำชี้แจงเหตุการณ์ ส่งเอกสารต่อ ICRC,สำนักงานสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UN OHCHR) สื่อสารต่อประชาคมอาเซียนว่าเป็นการดำเนินการ
เพื่อรักษามาตรฐานมนุษยธรรมในภูมิภาค
4. เตรียมพร้อมหากเกิดการบิดเบือนหรือโจมตีจากฝ่ายตรงข้ามโดยทำการสื่อสารเชิงรุกว่าไทยจัดการศพเพราะมนุษยธรรม ไม่ใช่การยอมรับหรือยอมแพ้ หากมีฝ่ายใดบิดเบือนว่าไทย “ทอดทิ้งศพ” ให้ชี้แจงด้วยเอกสาร-ภาพถ่าย–รายงานการปฏิบัติงานจริง
เมื่อถามว่า หากฝ่ายกัมพูชา ยังไม่ร่วมมือ ไทยควรทำอย่างไร? นพ.ฆนัท กล่าวว่า ยังคงต้องจัดการต่อ เพราะ ความเสี่ยงด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ศพอยู่ในเขตอธิปไตยของไทย ถ้าไม่ดำเนินการ อาจถูกมองว่าเป็นการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชน
“สิ่งที่ควรดำเนินควบคู่กัน คือ ขอความร่วมมือจาก องค์กรระหว่างประเทศ เช่น ICRC, UNHCR หรือ ASEAN Human Rights Body เสนอให้ประชาคมอาเซียนหารือร่วม วางกรอบเวลา เช่น ภายใน 7 วัน/30 วัน) ก่อนที่รัฐเจ้าบ้านจะต้องจัดการศพเอง หากฝ่ายตรงข้ามเพิกเฉย ให้จัดการศพแบบผู้ไม่ทราบอัตลักษณ์ พร้อมเก็บข้อมูลหลักฐานไว้ การจัดการศพอย่างเหมาะสมคือการรักษาเกียรติของรัฐไทย”
นพ.ฆนัท กล่าวว่า ประเทศไทยไม่ควรปล่อยให้ “ศพทหารกัมพูชาในเขตไทย” กลายเป็นภาพบาดตาที่อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองโดยฝ่ายตรงข้ามทั้งนี้ การจัดการอย่างมีขั้นตอน ชัดเจน และสอดคล้องกับหลักสากล ไม่เพียงแต่รักษาภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีโลก แต่ยังเป็น การแสดงออกถึงจริยธรรมในรัฐอารยะ
6) ก็เพราะหมอไป “ปักใจ” ว่า ศพทหารกัมพูชา “อยู่ในเขตไทย” ข้อท้วงติงและข้อเสนอแนะของท่านจึงกลายเป็น “ความทะเล่อทะล่า” และกลายเป็นการ “ตำหนิต่อว่า” ฝ่ายไทยไปเสียอย่างนั้น
7) หมอต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกครั้งว่าศพทหารกัมพูชาอยู่ที่ไหน ภารกิจของกองทัพไทยที่ต้องทำโดยลำดับคืออะไร เขาทำอยู่หรือไม่ ในพื้นที่ที่หมอเห็นเป็นทุ่งลาเวนเดอร์นั้น มี “กับระเบิด” อยู่หรือไม่ มีเหตุผลที่ฝ่ายไทยต้องเสี่ยงเข้าไปเก็บศพแทนฝ่ายกัมพูชาจริงๆ หรือ
8) พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย แถลงอย่างชัดเจนว่า “...เรื่องของศพทหารกัมพูชา ดังที่สังเกตได้ว่ารัฐบาลและกองทัพกัมพูชานั้นมีการเพิกเฉย แล้วก็มีการละเลยต่อการปฏิบัติต่อศพทหารของตนเอง ประเทศไทยเองก็ขอเน้นย้ำว่าเรายึดในเรื่องของหลักมนุษยธรรมเสมอมา แม้เราเป็นฝ่ายถูกกระทำ ก็ยังเคารพต่อชีวิตและศักดิ์ศรีของมนุษย์ ไม่ว่าผู้นั้นจะสังกัดชาติใด โดยการปฏิบัติที่ผ่านมานะเราได้เล็งเห็นว่า การจัดการศพของฝ่ายกัมพูชานั้นได้มีการละเมิดหลักมนุษยชน มนุษยธรรมสากลขั้นพื้นฐาน ก็คือการทอดทิ้งร่างผู้เสียชีวิตโดยเฉพาะทหารของตนเอง ไม่ใช่เพียงการขัดต่อหลักศีลธรรม แต่ยังเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างชัดเจนด้วย โดยอ้างอิงต่อหลักฐานของอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่หนึ่งและสี่ ว่าด้วยการเก็บรักษาและเคารพร่างผู้เสียชีวิตจากการสู้รบ”
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า “...ประเด็นที่สองที่เราเห็นการปฏิบัติของฝ่ายกัมพูชาละเมิดเพิกเฉย ก็คือ การละเมิดเกียรติยศของกองทัพกัมพูชาเอง นั่นคือการไม่ดำเนินการใดๆ ต่อร่างของทหารของตนเองที่เสียชีวิต ย่อมสะท้อนถึงการละเลยศักดิ์ศรีของความเป็นทหารของประเทศตนเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเป็นอย่างยิ่งทีเดียว เป็นเรื่องที่สามารถสร้างผลกระทบต่อทหารของกัมพูชาที่ยังมีชีวิตอยู่ และครอบครัวของผู้เสียชีวิตด้วย ตามที่เราทราบกันในสื่อสังคมออนไลน์ครอบครัวของทหารกัมพูชาเรียกร้องแล้วก็ค้นหาญาติของตนเองที่สูญหาย ซึ่งก็สังเกตได้ว่าฝ่ายกัมพูชาก็ยังเพิกเฉยต่อกรณีดังกล่าวด้วย
...อีกประเด็นหนึ่ง เช่นเดียวกับประเทศไทยนั้นกัมพูชาก็เป็นประเทศพุทธ การที่ไม่จัดการศพของตนเองนั้นก็ถือเป็นการละเมิดหลักศาสนาและขนบธรรมเนียมอันศักดิ์สิทธิ์ของประเทศแต่ละฝ่ายด้วย
...ประเด็นสุดท้ายก็สำคัญ คือเรื่องของการกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขลักษณะข้ามแดนทับการปล่อยศพไว้โดยไม่เก็บกู้อาจจะส่งผลต่อ สภาพศพ ในพื้นที่และอาจจะกลายเป็นประเด็นความเดือดร้อนที่ลุกลาม เป็นปัญหาข้ามพรมแดนด้วย อันนี้ก็ถือว่าการรักษาอนามัยต่างๆ นั้น นอกเหนือจากเรื่องของกลิ่นแล้วก็ยังมีเรื่องของความสกปรก แล้วก็อาจเกิดโอกาสที่จะแพร่เชื้อโรคต่างๆได้ในพื้นที่ซึ่งเป็นอันตรายต่อประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะบริเวณชายแดน แล้วก็ขอกล่าวไปทางฝ่ายกัมพูชาเรื่องของการเคารพสิทธิหลักพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ของประชาชนชาวกัมพูชาโดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารที่เสียสละสู้รบให้กับท่าน แจ้งผ่านไปยังประเทศกัมพูชาในเรื่องนี้ด้วย...”
9) ด้าน นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี การที่กัมพูชาปฏิเสธว่าร่างทหารที่เสียชีวิตจากเหตุปะทะตามแนวชายแดน “ไม่ใช่ทหารของตน” เป็นการลดทอนเกียรติภูมิของผู้เสียสละอย่างไร้ยางอาย ต่างจากประเทศไทยที่ยึดมั่นในคุณค่าของความเสียสละ และเชิดชูเกียรติทหารในฐานะผู้ปกป้องแผ่นดิน ผู้เป็นหลักชัยแห่งศักดิ์ศรีของชาติ
“รัฐบาลขอยืนยันว่า ทหารไทยทุกนาย และประชาชนผู้เสียสละ คือสัญลักษณ์ของเกียรติภูมิความมั่นคง และเอกราชของชาติ การยืนหยัดของพวกเขาคือพลังของประเทศ และจะได้รับการยกย่องด้วยเกียรติยศสูงสุดจากแผ่นดินไทยอย่างสมศักดิ์ศรี”นางสาวศศิกานต์ กล่าว
สรุป : ในความเห็นของผม กองทัพไทยปฏิบัติหน้าที่ในสมรภูมิรบและหลังการสู้รบได้ดีพอแล้วไม่ควรต้องถูกตำหนิ หรือมีข้อเสนอที่ “ทะเล่อทะล่า” ให้ถูกมองว่า เป็นกองทัพที่ไร้มนุษยธรรม!!
จิตกร บุษบา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี