จัดการกับ “เฟคนิวส์” ของกัมพูชาแทบไม่หวาดไม่ไหวในแต่ละวัน เห็นชัดเจนว่าเป็นประเทศที่ไร้มนุษยธรรมไร้กติกา และหน้าด้านอย่างที่สุด พื้นที่สู้รบด้วยกำลังทหารและอาวุธอาจจะเบาลง แต่สมรภูมิแห่งใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว นั่นคือการ “รบกันในพื้นที่ข่าวสาร” และใน “ศาล” ที่ควรจะมีตามมา
1) เฟซบุ๊กเพจกองทัพภาคที่ 2 โพสต์ข้อความ “ประมวล 8 พฤติกรรมไร้มนุษยธรรมของกัมพูชา ที่โลกต้องไม่เพิกเฉย” อันประกอบไปด้วย
• การ “ยิงถล่มโรงพยาบาล โรงเรียน ชุมชนพลเรือน” อย่างโหดเหี้ยม
• การใช้ “โบราณสถานของไทยเป็นฐาน” เป็นโล่กำบัง
• การใช้ “ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล” ในดินแดนไทย
• การใช้ “พลเรือนเป็นโล่มนุษย์”
• การโจมตีทำให้ “คนไทยผู้บริสุทธิ์” เสียชีวิต
• การเป็นต้นเหตุให้พลเรือนไทยต้องอพยพเกือบ 200,000 คน
• การปลุกปั่น “ปล่อยข่าวเท็จ” รายวันของผู้นำกัมพูชา
• การยุยง “สร้างความเกลียดชัง” ปลุกกระแสรักชาติ
แบบผิดๆ
ประเทศไทยยังคงยืนหยัด ไม่ตอบโต้พลการ ไม่โจมตีเป้าหมายพลเรือน แต่ปกป้องแผ่นดินด้วยหลักมนุษยธรรมและความชอบธรรมถึงเวลาแล้วที่ประชาคมโลกต้องตั้งคำถาม :
• ใครคือผู้ละเมิดกฎหมายสากล?
• ใครคือผู้ใช้เด็ก–ผู้หญิง-คนชราเป็นโล่มนุษย์?
• ใครคือผู้สมควรถูกประณามและรับผิดชอบ?
นี่เป็นกรอบคิดและความจริงที่ดีมาก แต่คำถามคือ รัฐบาลได้ถือเป็นธุระในการนำเสนอสู่สังคมโลกมากเพียงใด
2) ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบก (ศปส.ทบ.) นำคณะเอกอัครราชทูต อุปทูต ผู้แทนทางการทูตต่างๆ และผู้ช่วยทูตทหารพร้อมสื่อมวลชน ลงพื้นที่ จ.ศรีสะเกษและ
จ.อุบลราชธานี เพื่อตรวจสอบจุดที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไทย-กัมพูชา นี่คือการรบในทางข่าวสารแบบ “เปิดเกมรุก” เบิกตัวพยาน หลักฐาน อย่างน่าสนใจ
โดยได้เดินทางไปตรวจสอบจุดที่ทหารกัมพูชายิงจรวดใส่ร้านสะดวกซื้อสถานีบริการน้ำมัน ปตท.บ้านผือ ต.หนองหญ้าลาด อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งทำให้ประชาชนคนไทยเสียชีวิต 8 คน หนึ่งในนั้นเป็นเด็กอายุ 7-8 ขวบ บาดเจ็บจำนวน 10 คน และเดินทางต่อไปยัง รร.ภูมิซรอลวิทยา ต.เสาธงชัย เพื่อสังเกตการณ์พื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย จากนั้นเดินทางไปยัง รพ.สต.บ้านชำเม็ง ต.เสาธงชัย สังเกตการณ์ พื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย ก่อนจะเดินทางต่อไปยังศูนย์พักพิงวิทยาลัยเทคโนโลยีกันทรลักษ์
3) เมื่อคณะเดินทางมาถึงมณฑลทหารบกที่ 22 ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ กองทัพบกได้ชี้แจงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ทราบว่าการดำเนินงานของกองทัพในการรักษาอธิปไตย ยึดมั่นในหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และย้ำถึงความมุ่งมั่นของกองทัพที่จะแก้ปัญหาด้วยทวิภาคีที่ไทยและกัมพูชามีอยู่ ด้วยความจริงใจและโดยสันติวิธีมาโดยตลอด
จากนั้นกองทัพบกได้ไล่เลียงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากที่ฝ่ายกัมพูชาดำเนินการยั่วยุเพื่อสร้างความตึงเครียด ด้วยกิจกรรมทางทหารและพลเรือน ตั้งแต่วันที่ 13 ก.พ. 2568 การพานักท่องเที่ยวขึ้นมาร้องเพลงปลุกใจในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม วันที่ 28 ก.พ. 2568 การเผาศาลาตรีมุข สัญลักษณ์ความร่วมมือไทย กัมพูชา และ สปป.ลาว เดือน มี.ค.-เม.ย.2568 ทหารกัมพูชาดัดแปลงภูมิประเทศแนวชายแดนเพื่อทางการทหาร เสริมความแข็งแรงของที่มั่น ปรับปรุงเส้นทางและการขยายแนวเขตคูเลตเข้ามาในเขตประเทศไทย เดือน เม.ย.-พ.ค.2568 ฝ่ายกัมพูชาได้เคลื่อนย้ายกำลังพลเพิ่มเติม และอาวุธยุทโธปกรณ์ประชิดชายแดนเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ต่อมาฝ่ายกัมพูชาได้รุกล้ำเข้ามาในเขตแดนของไทย โดยเข้ามาขุดคูเลตติดต่อ วันที่ 28 พ.ค. กัมพูชาเริ่มเปิดฉากการยิง (Skirmish) ระหว่างหน่วยในพื้นที่ โดยฝ่ายไทยได้ตอบโต้เพื่อเป็นการป้องกันตัวบริเวณช่องบก กองทัพและรัฐบาลไทยพยายามใช้แก้ไขปัญหาแบบทวิภาคี ซึ่งไม่เป็นผล ห้วงเดือน ก.ค.2568 ทหารกัมพูชาได้รุกล้ำเข้ามาลักลอบวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลหลายพื้นที่ในเขตแดนไทย จนทำให้ทหารไทยลาดตระเวนบาดเจ็บสูญเสียขาจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 ถึง 2 ครั้ง ทำให้เกิดการสูญเสีย ขาขาด 2 นาย และมีบางส่วนบาดเจ็บ ซึ่งเป็นการกระทำที่ฝ่ายกัมพูชาจงใจละเมิดหลักมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง อีกทั้งเป็นการจงใจละเมิดอนุสัญญาออตตาวาที่ทั้งไทยและกัมพูชาให้สัตยาบัน
4) กองทัพบกได้ชี้แจงมาตรการควบคุมชายแดน มีเปิดฉากยิงของกัมพูชาเมื่อวันที่ 24 ก.ค.2568 บริเวณปราสาทตาเมือนธม ใช้ปืนเล็กยาว เครื่องยิงลูกระเบิด mortar เกิดการปะทะกัน กัมพูชายกระดับใช้ปืนใหญ่และจรวดหลายลำกล้อง BM-21 โจมตี และจงใจยิงเป้าหมายพลเรือน ซึ่งห่างจากชายแดนเกือบ 10 กม.ถึง 30 กม. โรงพยาบาลพนมดงรัก จ.สุรินทร์ ปั๊มน้ำมัน PTT บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ร้านค้าสะดวกซื้อ 7-11 บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โรงเรียนในจังหวัดสุรินทร์และศรีสะเกษ บ้านเรือนราษฎร เช่น หมู่บ้านกรวด บ้านกุดเชียง ในพื้นที่ จ.สุรินทร์, บุรีรัมย์, ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ทำให้พลเรือนบาดเจ็บ 36 ราย เสียชีวิต 15 ราย ซึ่งผู้เสียชีวิต 1 ในนั้นเป็นเด็กอายุเพียง 8 ขวบ และมีราษฎรต้องอพยพจำนวนมากกว่า 150,000 คน ซึ่งฝ่ายไทยตอบโต้ภายใต้หลักการแห่งการป้องกันตนเอง
ปัจจุบันกัมพูชายังคงดำเนินการทางทหาร หลังจากมีการเจรจาข้อตกลงหยุดยิงที่มาเลเซีย เมื่อวันที่ 28 ก.ค.2568 แล้ว เวลาหลังเที่ยงคืน ฝ่ายกัมพูชาได้ละเมิดข้อตกลงการหยุดยิง
ส่วนที่ไทยใช้เครื่องบิน F-16 และอาวุธหนักจำนวนมากนั้น อาวุธทั้งหมดที่ใช้ในการตอบโต้และมีความเหมาะสมตามสัดส่วน เป็นเพื่อสกัดการรุกล้ำของฝ่ายกัมพูชา และกระทำต่อเป้าหมายทางทหารบริเวณแนวชายแดน ไม่ใช่การโจมตีเชิงรุก แต่เป็นฝ่ายกัมพูชาต่างหากที่วางกำลังและยิงอาวุธจากพื้นที่พลเรือน ใช้ชุมชนเป็น “โล่มนุษย์” ซึ่งเป็นการละเมิด International Humanitarians Laws อย่างร้ายแรง
ทั้งนี้ ไทยขอประณาม และให้กัมพูชาหยุดการกล่าวหาอันเป็นเท็จ เพื่อปลุกปั่นกระแสความเกลียดชัง และขอให้หันมาร่วมมือกับประเทศไทยและประชาคมระหว่างประเทศในการคลี่คลายสถานการณ์ชายแดนอย่างสันติผ่านการเจรจาและความร่วมมือที่ตรงไปตรงมา
ล่าสุด เมื่อวันที่ 30 ก.ค.2568 ฝ่ายกัมพูชาเชิญคณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศประจำกัมพูชาไปตรวจพื้นที่การรบห่างจากชายแดน 30 กม. แต่ฝ่ายกัมพูชากลับเปลี่ยนแผน พาคณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศประจำกัมพูชาไปพื้นที่ช่องอานม้า ซึ่งเป็นพื้นที่การสู้รบ ยังมีความเสี่ยงต่ออันตราย
กองทัพบกสรุปช่วงท้ายว่า ขอเน้นย้ำว่าการปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชานั้น ฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้เริ่มยิงก่อน โดยอาวุธระยะไกลยิงต่อเป้าหมายพลเรือน และทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของพลเรือนที่ยอมรับไม่ได้
5) จากนั้นจึงเห็น นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงผลการพาคณะทูตและผู้ช่วยทูตทหารลงพื้นที่ว่า การลงพื้นที่ในวันนี้เราดำเนินการอย่างโปร่งใส จัดให้เห็นข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุดของคณะ และเน้นความโปร่งใสเพราะหากเปรียบเทียบกับฝ่ายกัมพูชา เราให้สังเกตการณ์ทุกพื้นที่ สื่อมวลชนสามารถติดตามและถ่ายทอดสดได้ตลอดเวลา รวมทั้งได้พบปะพูดคุยกับผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง ซึ่งพลเรือนผู้บริสุทธิ์ได้รับผลกระทบด้านจิตใจ ประชาชนต้องอพยพออกจากบ้าน
ทั้งนี้ คณะทูตทุกท่านต่างแสดงความขอบคุณรัฐบาลไทยที่จัดการลงพื้นที่ด้วยความจริงใจ ขอย้ำว่าประเทศไทยยึดมั่นในกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด สิ่งที่ประชาคมโลกได้เห็นการลงพื้นที่ในวันนี้ตนเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าสุดท้ายแล้วความจริงจะชนะทุกอย่าง
ถามว่าเขารู้สึกอย่างไร ตนบอกได้โดยไม่ขอระบุประเทศว่าเขาเห็นใจเรา ไม่มีเหตุผลอะไรที่คนเหล่านี้ต้องมาเป็นเหยื่อ เขาไม่เห็นประเด็นว่าทำไมไทยต้องเป็นผู้เริ่มเป็นไปไม่ได้ เขาเห็นอกเห็นใจแสดงท่าทีสนับสนุนสิ่งที่ไทยทำ ชื่นชมในการดูแลประชาชน ทั้งครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบและผู้อพยพ ตนได้คุยกับท่านเหล่านั้น ท่านเห็นอกเห็นใจมากว่า เราเป็นเหยื่อ ชัดเจนมากว่า มีการล้ำมาในประเทศไทยเกือบ 30 กิโลเมตร ในการที่เขาเหมือนไม่เล็ง หรือตั้งใจเล็งมาที่ประชาชนเป้าหมายที่ไม่ใช่ทหาร ยืนยันไทยทำบนหลักการ แต่กัมพูชาไม่อยู่บนหลักการ ตนคิดว่าเราจะได้รับการตอบรับในสิ่งที่เราเรียกร้องและขอการสนับสนุนจากเขา
ครับ, ทั้งหมดที่ผมวางกรอบคิดจากการนำเสนอของกองทัพภาคที่สอง และไล่เลียงเหตุการณ์การแสดงความจริงและผลกระทบต่อประชาชนคนบริสุทธิ์ มาโดยลำดับแล้ว คำถามต่อไปก็คือ จะหยุดแค่นี้ หรือจะต้องทำอะไรต่อไปอีก คำตอบอยู่ในการเสนอความเห็นของนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ สส.พัทลุง ที่ว่า
“จับอาชญากรสงครามที่สังหารพลเรือนไทย” โดยนายนิพิฏฐ์นำเสนอว่า
“...ว่าตามจริง ผมไม่พอใจรัฐบาล และนักการเมืองที่เราเลือกเข้าไป ที่ไม่ทุ่มเทความพยายามดำเนินคดีกับศัตรูของชาติที่ทำร้ายและฆ่าพลเรือนของเราในข้อหา เป็นอาชญากรสงคราม ต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ แต่รัฐบาลกลับพยายามที่จะใช้ทรัพยากรทุกชนิด ทั้งตำรวจ, อัยการ, ศาลปกป้องนายกรัฐมนตรีที่ถูกศัตรูของชาติด่า
...คนไทยทั้งหลายอย่าให้พลเรือนเพื่อนร่วมชาติของเราตายฟรี
...ผมกล่าวตรงๆ ไว้ตรงนี้เลย เรื่องนี้ผมติดใจมาก หากรัฐบาลและนักการเมือง ไม่นำฮุนเซน กับ ฮุน มาเนต ขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศในฐานเป็นอาชญากรสงคราม สังหารพลเรือนไทย นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร, สส.และ สว. วันนี้ ท่านอยู่ตรงกันข้ามกับผมและคนไทย
ผู้รักชาติ...”
การรบ จึงไม่ใช่แค่ในสมรภูมิอาวุธและกำลังพลแต่ยังมีสมรภูมิข่าวสาร และสมรภูมิกฎหมายที่จะต้องทำให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดด้วย!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี