วันจันทร์ ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2568
“ทักษิณ ชินวัตร” เป็นนักโทษโกงบ้านกินเมือง ทำผิดแล้วหนี กลับมาแล้วก็ได้รับการลดโทษ เมื่อได้รับการลดแล้วก็ยังใช้อำนาจมีอภิสิทธิ์เหนือนักโทษคนอื่นๆ ไม่ยอมติดคุก จนได้รับฉายาว่าเป็น “นักโทษเทวดาชั้น 14” และในที่สุดก็ได้รับการพักโทษตามกระบวนการพักโทษ กลับไปอยู่บ้านจันทร์ส่องหล้าซอยจรัญสนิทวงศ์ 69 ย่านฝั่งธนบุรี
กระบวนการพักโทษที่ว่านั้นก็คือ มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด อันประกอบด้วยมีอายุมากกว่า 70 ปีและเข้าสู่กระบวนการรับโทษมาแล้ว 1 ใน 3 หรือ 6 เดือน (180 วัน) ซึ่งกระทรวงยุติธรรมโดย“คณะกรรมการพิจารณาพักการลงโทษ”เห็นว่า นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด เนื่องจากปีอายุ 74 ปี และเข้าสู่กระบวนการรับโทษแม้จะ“ติดคุกทิพย์”ก็ตาม รับโทษครบ 180 วัน ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 ทั้งนี้ กรมราชทัณฑ์ไม่ได้ให้รายละเอียดว่าเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2566 ที่ทักษิณกลับมารับโทษแล้วถูกนำตัวออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯในตอนดึกยามวิกาลของคืนวันนั้นหรือไม่ และจากนี้ไปทักษิณก็จะอยู่ในการดูแลของกรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม
สรุปก็คือหนีไปอยู่ต่างประเทศ 15 ปีกว่าด้วยทรัพย์สินเงินทองที่ร่ำรวยจากการคดโกง มีโทษติดตัวจากคดีทุจริตประพฤติมิชอบ 3 คดี เป็นเวลา 10 ปี ไม่รอลงอาญา ปรากฏว่าเมื่อกลับเข้ามาประเทศไทย จากโทษ 10 ปี ก็ลดลงมาแบบง่ายๆ เหลือ 8 ปี ด้วยเหตุผลที่ว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทาง
การเมืองมิได้สั่งนับโทษคดีหวยบนดิน 2 ปี ต่อจากคดีทุจริตปล่อยเงินกู้เอ็กซิมแบงก์ จึงทำให้เหลือโทษแค่คดีเอ็กซิมแบงก์ 3 ปี และคดีทุจริตแก้ไขสัญญาสัมปทานโทรคมนาคมเอื้อประโยชน์ให้ชินคอร์ป 5 ปี รวมเป็นเวลาที่จะต้องติดคุก 8 ปี
หลังจาก น.ช.ทักษิณ ชินวัตร ถูกพาตัวออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯไปนอนพักรักษาตัวอยู่บนชั้น 14โรงพยาบาลตำรวจ ในเวลาเที่ยงคืนเศษวันที่ 22 สิงหาคม 2566 ซึ่งเป็นวันแรกที่กลับเข้ามารับโทษ ด้วยข้ออ้างที่กรมราชทัณฑ์แถลงต่อสาธารณะว่า ทักษิณมีอายุเกิน70 ปี อยู่ในกลุ่มเปราะบาง “มีอาการป่วยกำเริบ” ส่วนจะจริงเท็จอย่างไรหรือไม่นั้นไม่มีใครตรวจสอบได้ และในวันที่ 31 สิงหาคม 2566 ผ่านมาได้เพียงเก้าวัน นักโทษเด็ดขาดชายผู้นี้ก็ได้รับการลดโทษจาก 8 ปี เหลือ 1 ปี
การลดโทษดังกล่าว “ทักษิณ ชินวัตร” ได้รับการอวยเกียรติว่า เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน ทำคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และเมื่อถูกดำเนินคดีและศาลมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุก ทักษิณก็มีความเคารพในกระบวนการยุติธรรม ยอมรับผิดในการกระทำ มีความสำนึกในความผิด จึงขอรับโทษตามคำพิพากษา อีกทั้งขณะนี้มีอายุมาก มีปัญหาสุขภาพเจ็บป่วยต้องเข้ารักษาพยาบาลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จึงทำให้ทักษิณได้รับพระราชทานอภัยลดโทษตามที่มีหนังสือกราบบังคมทูลขึ้นไป
กลายเป็นว่าความชั่วของ“ทักษิณ ชินวัตร” จากการทุจริตประพฤติมิชอบระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (2544-2549) จนมีคดีติดตัวและถูกศาลพิพากษาจำคุก ได้พลิกเปลี่ยนจากหน้ามือเป็น“ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน” มิหนำซ้ำการที่ทักษิณหลบหนีโทษจากคดีทุจริตโกงชาติโกงแผ่นดินไปอยู่ในต่างประเทศนานกว่า 15 ปี ยังได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติว่า “เป็นผู้มีความเคารพในกระบวนการยุติธรรม ยอมรับผิดในการกระทำ มีความสำนึกในความผิด จึงขอรับโทษตามคำพิพากษา” ซึ่งประเด็นนี้ใครก็รู้ว่า ทักษิณยอมกลับมาเพราะพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล และนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ “เศรษฐา ทวีสิน” เป็นหุ่นเชิดที่ตนเองชักใยได้
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ในช่วงเวลา 180 วัน นับตั้งแต่วันแรกที่กลับเข้ามาเหยียบแผ่นดินไทย ถือได้ว่าเป็นเรื่องโกหกตั้งแต่รัฐบาลลงมาจนถึงข้าราชการประจำ คือตั้งแต่นายกรัฐมนตรี, รองนายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, ปลัดกระทรวงยุติธรรม, อธิบดีกรมราชทัณฑ์,
ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ, ผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ตลอดจนคนในครอบครัวชินวัตรของทักษิณ ซึ่งไม่มีใครพูดความจริงเลยแม้แต่คนเดียว
กระบวนการโกหกได้เริ่มขึ้นตั้งแต่วินาทีแรกที่“ทักษิณ ชินวัตร”เหยียบแผ่นดินไทยเพื่อหลีกเลี่ยงการติดคุก ด้วยการอ้างอาการป่วยซึ่งโรงพยาบาลกรมราชทัณฑ์รักษาไม่ได้ จำเป็นต้องส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ และหลังจากนั้นกระบวนการโกหกก็รับลูกกันเป็นทอดๆ เริ่มจากเปิดเผยรายละเอียดอาการป่วยของนักโทษไม่ได้ หรือแม้แต่กล้องวงจรปิดในโรงพยาบาลตำรวจก็อ้างว่าเสีย ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบความเคลื่อนไหวของนักโทษได้เลยว่าป่วยและอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจจริงหรือไม่ และถ้าหากดูจากภาพในวันที่ทักษิณนั่งรถตู้ออกจากโรงพยาบาลตำรวจตามฤกษ์ 06.09 น. พร้อมบุตรสาวสองคน จะสังเกตได้ว่าสีหน้าแววตาของนักโทษเด็ดขาดชายผู้นี้อิ่มเอิบผ่องใสไม่ได้อิดโรยซูบซีดเหมือนคนป่วยที่อยู่ในขั้นวิกฤต แม้จะอำพรางด้วยการสวมหน้ากากอนามัยและสวมเฝือกที่คอแล้วก็ตาม
สำหรับผมนั้น ไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะเชื่อว่าหาก “ทักษิณ ชินวัตร” กลับมาโดยที่พรรคเพื่อไทยมีอำนาจเป็นรัฐบาล และมีนายกรัฐมนนตรีหุ่นเชิดชื่อ“เศรษฐา
ทวีสิน”ที่ทักษิณสามารถบงการและชักใยได้ ทักษิณก็ย่อมกลับมาอย่างเท่ๆ โดยไม่ต้องติดคุกได้ เพียงแต่เนื้อเรื่องจะปั้นแต่งออกมาอย่างไรให้เนียนที่สุดเท่านั้น พร้อมกับประโยคที่ทั้งนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมที่ชื่อ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง พูดเหมือนท่องเป็นคาถาป้องกันตัวตั้งแต่วันแรกจนวันที่ทักษิณได้รับการพักโทษว่า “เป็นไปตามกฎหมายและตามกระบวนการยุติธรรม”
นอกเหนือจากนั้น เมื่อผมได้นั่งดูเรื่องกระบวนการโกหกเกี่ยวกับ“ทักษิณ ชินวัตร” ยังทำให้นึกถึงภาพยนตร์ของฮอลลีวู้ดเรื่อง“Wag the Dog” หรือพากย์ไทยว่า“สองโกหกผู้เกรียงไกร” ที่แสดงโดย ดัสติน ฮอฟแมน (Dustin Hoffman) กับ รอเบิร์ต เดอ นิโร (Robert De Niro) โดยหนังเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงการโกหกในการสร้างข่าว แต่ก็เป็นการโกหกที่เนียนกว่ากรณีของนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเนื้อเรื่องของ “Wag the Dog” นั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา
สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด นอกจากการขบวนการโกหกแล้ว คนในครอบครัวชินวัตรเองก็ไม่สังวรและไม่ได้รู้สึกละอายใจเลยแม้แต่น้อย กับสิ่งที่ทักษิณซึ่งเป็นบิดาและเป็นปู่เป็นตาได้ทำอะไรไว้กับบ้านเมืองนี้จนต้องเป็น“คนขี้คุก” ถึงกับขึ้นป้ายบนกำแพงบ้านจันทร์ส่องหล้าเพื่อแสดงความยินดีต้อนรับนักโทษที่ได้รับการพักโทษกลับบ้าน เหมือนต้อนรับวีรบุรุษกลับบ้าน อีกทั้งยังส่อแสดงความลำพองราวกับว่า“ตระกูลชินวัตร”ได้กลับมายิ่งใหญ่มีอำนาจเหนือประเทศไทยอีกครั้ง
ระวัง ! ใครทำชั่วอะไรไว้แล้วยังไม่รู้สึกสำนึกผิด วันหนึ่งบาปนั้นจะคืนสนอง !
รุ่งเรือง ปรีชากุล

‘ผบก.ตม.4’ลงพื้นที่‘ด่านช่องเม็ก’ สกัด‘รถน้ำมัน’ทะลักออกด่าน ตามคำสั่ง‘มทภ.2’
ในหลวง-พระราชินี ทรงรับผู้บาดเจ็บ-ผู้เสียชีวิต จากเหตุชายแดน ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์
มาลี แถลงโต้ ยันเขมรไม่ได้กักตัวคนไทย โอดถูกเครื่องบิน F-16 ระดมทิ้งระเบิด
สรุปเหรียญ กีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 33 ไทยยังคงนำเป็นจ้าวเหรียญทอง
โคราชจับตา! เฝ้าระวัง'ทหารรับจ้างรัสเซีย'ลอบเข้าพื้นที่ เอี่ยวแผนก่อเหตุจุดยุทธศาสตร์

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี