คำว่าเสรีภาพและสื่อควรจะเป็นคำที่อยู่ร่วมกันอย่างแยกไม่ขาดในสังคมประชาธิปไตย แต่ด้วยบริบทของประเทศไทยคงต้องบอกว่าเสรีภาพและสื่อยังคงแยกกันอยู่ อาจมีการคลาดกันไปมาอยู่บ้างตามจังหวะของการขับเคลื่อน ซึ่งนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าที่ผ่านมา คือ ยุคเบ่งบานของเสรีภาพสื่อเพราะยังมีหลายต่อหลายครั้งสื่อมวลชนถูกคุกคามและควบคุมทั้งทางตรงและทางอ้อม อย่างในวันนี้ที่บทความนี้กำลังถูกเขียนขึ้น เสรีภาพของสื่อก็ได้ถูกผลักให้เข้าไปอยู่ในสถานการณ์ท้าทายอีกครั้ง
ประชาชนในวงกว้างยังไม่เคยได้รับรู้ว่าหลายสิบปีที่เหล่าสื่อมวลชนพยายามดันเพดานกันมานั้น ยังไม่อยู่ในจุดที่ทำให้พวกเขาหายใจหายคอได้อย่างสะดวกเลยแม้แต่น้อย เราถูกทำให้คิดว่าสิ่งที่มีอยู่ คือ เสรีภาพสื่อ จึงไม่แปลกที่จะมองไม่เห็นภาพว่าเมื่อเสรีภาพสำคัญต่อสื่ออย่างไร ดังนั้นเราจึงชวนมามองความสำคัญผ่านบทบาทและอิทธิพลของสื่อก่อนในลำดับแรก
หลากนิยามสื่อ ถึงบทบาทหน้าที่และอิทธิพล
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันสื่อมวลชนได้รับนิยามต่างๆ มากมาย เปรียบเทียบกับทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต แต่ทุกนิยามล้วนสะท้อนหน้าที่และอิทธิพลของสื่อได้เป็นอย่างดี
ในศตวรรษที่ 18 ในการประชุมรัฐสภาอังกฤษได้เกิดคำว่า ฐานันดรที่ 4 (The Fourth Estate) ขึ้น ซึ่งหมายถึงนักหนังสือพิมพ์ที่เข้าไปทำหน้าที่โดยการเข้าฟังประชุมสภาเพื่อสอดส่องการทำงานของทั้งนักการเมืองและสมาชิกสภา โดยภายหลังได้ขยายความครอบคลุมสื่อทุกแขนงไม่ใช่เพียงสื่อสิ่งพิมพ์อย่างเดียวอีกต่อไป
นิยามต่อมาที่อาจคุ้นหูกันมากขึ้นคือผู้รักษาประตูข่าวสาร (gate - keeper) ซึ่งหมายถึงการมีหน้าที่กลั่นกรองข่าวสาร ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนนำเสนอแก่ประชาชน ในหนึ่งวันแม้มีเรื่องราวเกิดขึ้นหนึ่งพันเรื่อง แต่ก็ใช่ว่าทั้งหนึ่งพันเรื่องจะเป็นข่าวทั้งหมดเพราะต้องมีการกลั่นกรองจากผู้รักษาประตูเหล่านี้ก่อนที่จะไปถึงการรับรู้ของประชาชน แม้ว่าในปัจจุบันประชาชนอาจเข้าถึงข้อมูล เนื้อหา และเรื่องต่างๆที่อยากรู้ได้เองโดยไม่ได้พึ่งพาสื่อมากเท่าเมื่อก่อนแล้ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสื่อยังคงมีอำนาจในการกำหนดประเด็นต่างๆ ในสังคมอยู่เช่นกัน
สุดท้ายคือ นิยาม หมาเฝ้าบ้าน (watchdog) คงเป็นหนึ่งในนิยามสื่อที่คุ้นหูมากที่สุดแม้ว่าจะไม่ใช่ผู้ที่คลุกคลีอยู่ในวงการสื่อก็ตามที ในส่วนของความหมายก็เช่นกัน เมื่อสื่อถูกเปรียบกับหมาเฝ้าบ้าน นั่นหมายถึงสื่อมวลชนต้องทำหน้าที่เฝ้าระวัง จับตามองความเป็นไปโดยเฉพาะการใช้อำนาจใดๆ ว่าเป็นไปอย่างยุติธรรมต่อทุกฝ่ายในสังคม รวมทั้งขุดคุ้ย หรือสืบเสาะในความน่าสงสัยและไขให้กระจ่างแจ้งด้วย
นิยามของสื่ออาจมีอีกมากไม่ว่าจะเป็นกระจก หน้าต่าง ตะเกียง ฯลฯ แต่หลักใหญ่ใจความของนิยามที่สะท้อนบทบาทของสื่อมวลชนก็ล้วนแล้วแต่มีประชาชนเป็นปลายทาง กล่าวคือทุกบทบาทและอิทธิพลที่สื่อถือไว้ในมือต้องเอื้อประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอข่าวสาร การให้ความรู้ หรือแม้กระทั่งการตรวจสอบ ถ่วงดุลอำนาจรัฐ
หากสื่อไม่อาจรายงานข้อเท็จจริงได้อย่างเสรีแล้วสิ่งที่ตามมาคือประชาชนก็ไม่อาจได้รับข้อมูลข่าวสารอย่างครบถ้วนรอบด้านเช่นกัน ต่อไปนี้เราอาจจะได้ยินในสิ่งที่เขาอยากให้ได้ยิน เราอาจได้เห็นในสิ่งที่เขาอนุญาตให้ได้เห็น การปิดปากสื่อไม่ต่างอะไรจากการปิดหูปิดตาประชาชนเราเรียกสิ่งนี้ว่าการกุมสื่อด้วยกฎหมาย
เดือนแห่งความรักที่หลายคู่ได้เดินจับมือ แต่สื่อถูกจับกุม
ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา นักข่าวจากประชาไทและช่างภาพอิสระถูกจับกุมฐานให้การสนับสนุนในการทำให้โบราณสถานเสียหายตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 และพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 จากการไปปฏิบัติหน้าที่รายงานข่าวและถ่ายภาพเหตุการณ์ที่มีศิลปินพ่นสเปรย์สัญลักษณ์ขีดฆ่าตัวเลข 112 และสัญลักษณ์อนาธิปไตยบนกำแพงวัดพระแก้ว โดยการเข้าจับกุมดังกล่าวไม่มีหมายเรียกมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นสื่อมวลชนทั้งสองท่านยังไม่ได้รับสิทธิ์ประกันตัวอีกด้วย
ถ้าไม่ได้เห็นกับตาคงไม่เชื่อว่าเราเดินมาถึงจุดที่การรายงานข่าวกลายเป็นอาชญากรรมและสื่อมวลชนจะกลายเป็นอาชญากร หากใช้ชุดเหตุผลที่ว่าการไปทำข่าวใดๆ ก็ตามคือการสนับสนุน การไปทำข่าวคดีร้ายแรงอื่นๆ ก็นับเป็นการสนับสนุนเช่นเดียวกันหรือ?
สังคมโลกกับเสรีภาพสื่อ
“เสรีภาพในการแสดงออก คือบ่อเกิดแห่งสิทธิมนุษยชนทั้งปวง (Freedom of expression as a driver for all other human rights)” คือหัวข้อการรณรงค์ในวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลกที่องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้กำหนดขึ้นในปี 2566
ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติในข้อที่ 19 ว่าด้วยเรื่องสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก โดยมีเนื้อหาว่า “ทุกคนมีสิทธิในอิสรภาพแห่งความเห็นและการแสดงออกรวมทั้งอิสรภาพในอันที่จะถือเอาความเห็นโดยปราศจากการแทรกแซง แสวงหา รับ และส่งข้อมูลข่าวสารตลอดจนข้อคิดผ่านสื่อใด โดยไม่คำนึงถึงพรมแดน” ซึ่งประเทศไทยเองได้ให้สัตยาบันต่อปฏิญญาสากลนี้ เเละเข้าเป็นภาคีกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองด้วย
เราจะเห็นได้ว่าเสรีภาพสื่อเป็นเรื่องที่สังคมโลกให้ความสำคัญไม่น้อยไปกว่าประเด็นอื่นใด และท่าทีของประเทศไทยในระดับนานาชาติก็เป็นไปในเชิงตอบรับและเห็นด้วยมาโดยตลอด
เสรีภาพอยู่คู่สื่อ สื่ออยู่คู่ประชาชน
เมื่อเสรีภาพสื่อคือเสรีภาพของประชาชนและการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อก็คือการตอบสนองต่อสิทธิของประชาชนอย่างหนึ่ง ดังนั้นการพรากเสรีภาพไปจากสื่อก็ไม่ต่างอะไรจากการพรากมันไปจากประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศด้วยเช่นกัน บรรยากาศแห่งความกลัวที่ถูกสร้างขึ้นในแวดวงสื่อมวลชนจะขยายวงไปยังผู้คนอีกมากมายนับไม่ถ้วน เราจะต้องอยู่ใช้ชีวิตภายใต้ความหวาดกลัวเช่นนี้ตลอดไปหรือ นี่คือคำถามที่ไม่ใช่ประชาชนต้องเป็นผู้ตอบ แต่เป็นผู้มีอำนาจในประเทศนี้ต่างหาก
บทความนี้เขียนขึ้นด้วยความหวังเป็นอย่างยิ่งว่าในวันที่บทความนี้ลงเผยแพร่ไม่ว่าในช่องทางใดก็ตาม เพื่อนสื่อมวลชนของเราจะได้รับสิทธิการประกันตัวอย่างที่พึงจะได้รับ
แหล่งข้อมูล
The101world
Amnesty International Thailand
SDG Move
สถาบันพระปกเกล้า
ทวิตียา บูรณเกียรติศักดิ์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี