ตั้งแต่คุณเศรษฐา ทวีสิน เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 มาเป็นเวลาเกินครึ่งปีแล้วนั้น ผมก็มิได้มีคำชมให้กับคุณเศรษฐาสักเท่าไหร่ มักจะมีข้อวิพากษ์วิจารณ์ไปในเชิงลบด้วยซ้ำ ก็เพราะเห็นว่านายกฯ เศรษฐานั้นมุ่งเดินทางไปที่ต่างๆ มากกว่าจะนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน โต๊ะประชุม ซึ่งระหว่างเดินทางพบปะผู้คน นายกฯ ก็มักจะพูดจา หรือทำอะไรที่ดูค่อนข้างจะผิวเผิน บางครั้งก็ดูเพ้อเจ้อ แถมยังเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับหน้าที่การงานประจำของบรรดารัฐมนตรีทั้งหลาย และข้าราชการระดับสูงของกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ โดยไม่จำเป็น
แต่มาบัดนี้ สำหรับการที่นายกฯ เศรษฐา ตัดสินใจเดินทางลงใต้ เพื่อไปเยี่ยมเยียน ไปพบปะกับประชาชนพลเมือง และข้าราชการชั้นผู้น้อยต่างๆ ใน 3 จังหวัดภาคใต้(ปัตตานี นราธิวาส และยะลา) เป็นเวลา 3 วัน 2 คืน (27-29 กุมภาพันธ์) ผมนั้นอดที่จะขอแสดงความชื่นชมมิได้ เพราะมันเป็นการสะท้อนถึงความกล้าหาญชาญชัยที่จะไปปรากฏตัวในเขตอันตรายเสี่ยงภัย เพื่อให้กำลังใจต่อบรรดาข้าราชการทหาร ตำรวจ พลเรือน และประชาชนพลเมือง ถือเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจ และยังสะท้อนซึ่งความเหลียวแล และห่วงใยต่อพวกเขาจากผู้นำประเทศ
การเดินทางครั้งนี้ นายกฯ เศรษฐา ไปเพื่อรับฟังและตัดสินใจที่จะขับเคลื่อนในเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน และการรับใช้บริการประชาชนพลเมือง โดยบรรดาเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งยังได้ไปเยี่ยมเยียนผู้นำทางศาสนาและทำการสักการบูชาสถานที่แห่งธรรมและความศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดความมั่นใจว่า ผลดีจะเกิดขึ้นต่อ 3 จังหวัดภาคใต้อย่างแน่นอน
แต่ทั้งนี้ ก็ขอตั้งข้อสังเกตสักนิดว่า นายกฯเศรษฐา มิได้มีการประชุมปรึกษาหารือกับหน่วยงานสำคัญของภาคใต้ 2 หน่วยงานด้วยกัน นั่นก็คือ สำนักงาน กอ.รมน. ส่วนหน้า(กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร) ที่ฝ่ายกองทัพเป็นหัวจักรอันสำคัญอยู่ และ ศอ.บต. (ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้) ซึ่งเป็นฝ่ายประสานงานด้านพลเรือน ที่มีกระทรวงมหาดไทยเป็นฐานสำคัญ ก็หวังว่าคณะทำงานของนายกฯ จะได้ประสานงานกับทั้งสองหน่วยงาน เพื่อทำสรุปรายงานต่อนายกฯ เป็นระยะๆ ต่อไป
นอกจากนั้น ยังมิได้มีข่าวคราวเกี่ยวกับการเจรจาสันติภาพระหว่างฝ่ายภาครัฐกับฝ่ายแบ่งแยกดินแดน ฝ่ายติดอาวุธหัวรุนแรงทางชาติพันธุ์และศาสนานิยม โดยมีรัฐบาลมาเลเซียช่วยอนุเคราะห์เป็นตัวกลางอยู่ด้วย ก็คงจะเป็นการบ้านที่นายกฯ เศรษฐา และคณะรัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการต่อไป เพื่อนำความปรองดองสมานฉันท์และสันติสุขกลับสู่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ดังกล่าว เพราะการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมจะคืบหน้าไปได้ เสถียรภาพทางความมั่นคงและปลอดภัยก็ต้องมาก่อน เพราะฉะนั้นผมก็ขอฝากประเด็นเป็นข้อคิดข้อปฏิบัติให้กับนายกฯ เศรษฐา และคณะรัฐบาล ดังนี้
1.การยกเลิกกฎอัยการศึก กฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉินและความมั่นคงภายใน เพื่อลดและขจัดการใช้กำลังเป็นเครื่องมือที่จะยุติประเด็นปัญหา และการขจัดภาพและความรู้สึกและสภาพความเป็นจริงว่า คนไทยต้องปะทะและฆ่าฟันกันเอง
2.การยกเลิกการแต่งตั้งนายทหารเป็นหัวหน้าเจรจาของฝ่ายรัฐ และใช้นักการเมืองหรือฝ่ายพลเรือนแทน เป็นการดำเนินการแก้ไขประเด็นปัญหาแบบสันติวิธี ที่มิมีนัยของ
การใช้กำลังและการคงไว้ซึ่งบทบาทนำของฝ่ายกองทัพ
3.การยุติการสู้รบและการวางอาวุธโดยฝ่ายกองกำลังแบ่งแยกดินแดน รวมทั้งการนิรโทษกรรมและการอภัยโทษตามแต่กรณีเป็นการทั่วไป ส่วนการฆาตกรรมผู้คนพลเมืองก็ให้เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม
4.การขจัดระบบบัญชีผี เพื่อล้มล้างการหาประโยชน์จากการหมุนเวียนบนหน้ากระดาษของกองกำลัง เพียงเพื่อจะได้รับเงินเดือนและค่าเบี้ยเลี้ยงเพิ่มขึ้น
5.การทบทวนบทบาทของ กอ.รมน. ส่วนหน้าว่า ทำงานทำการกันอย่างจริงจังหรือไม่ และใครเป็นผู้รับผิดชอบแท้จริง และขึ้นตรงกับผู้บังคับบัญชาผู้ใด และคณะรัฐมนตรีก็ดี หรือรัฐสภาก็ดี รับทราบและรู้เรื่องหรือไม่อย่างไร
6.การทบทวนบทบาทความสำเร็จและความล้มเหลวของ ศอ.บต. ในการพัฒนาพื้นที่และคุณภาพชีวิตอย่างจริงจังมีประสิทธิผลประสิทธิภาพหรือไม่อย่างไร
7.ทั้งนี้ นายกฯเศรษฐา ก็ต้องคำนึงและให้ชาวบ้านที่ภาคใต้ได้ตระหนักว่า สังคมไทยเป็นสังคมเปิด มีความทัดเทียมและมิได้มีการเลือกปฏิบัติต่อผู้ใดหรือกลุ่มใดทั้งสิ้น ดังจะเห็นได้ว่า ประธานสภาผู้แทนราษฎร และผู้แทนราษฎรหลายคน ที่นับถือศาสนาอิสลาม ก็มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและในการเข้าร่วมในวิถีทางทางการเมือง และในระบบราชการอย่างพร้อมหน้ากัน มิได้มีเรื่องใดๆ ที่ฝ่ายแบ่งแยกดินแดนจะหยิบยกขึ้นมาอ้างเพื่อหาความชอบธรรมให้กับตนเองได้
8.นายกฯเศรษฐา ควรได้ปรึกษาหารือกับนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเฉพาะ ในฐานะนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และรู้จักคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับทุกๆ ฝ่ายใน 3 จังหวัดดังกล่าวนี้
9.นายกฯเศรษฐา และกระทรวงการต่างประเทศ และกรมการศาสนา สามารถที่จะร่วมกันชี้แจงต่อประชาคมโลกและแวดวงศาสนาอิสลาม ถึงความเป็นสังคมไทยที่เปิดกว้าง ไม่เลือกปฏิบัติ และพลเมืองทุกคนมีโอกาสที่จะเข้าร่วมในความเป็นไปของสังคมอย่างทัดเทียมและเสมอภาคกัน
เพื่อที่จะหยุดปัญหาไฟไต้ที่สุมสังคมไทยมาหลายสิบปีนี้ให้ได้อย่างเด็ดขาด นายกฯเศรษฐา จะต้องตระหนักและเล็งเห็นว่า มีภาระหน้าที่ที่จะต้องขจัดการแอบอ้างใดๆ เพื่อหาประโยชน์เข้าตน เสมือนกับการ “เลี้ยงไข้” ไม่ว่าจะโดยข้าราชการฝ่ายบ้านเมืองหรือฝ่ายบุคลากรกองกำลังติดอาวุธ เพื่อจะได้รับงบประมาณ หรือในกรณีของฝ่ายแบ่งแยกดินแดนเพื่อจะได้รับความช่วยเหลือสนับสนุนจากต่างชาติและวงการศาสนาที่อาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือมีความประสงค์ที่จะแทรกแซงในกิจการภายในของราชอาณาจักรไทย
ก็ขอฝากการบ้านเหล่านี้ไปยังท่านนายกรัฐมนตรี เศรษฐา และคณะทำงานของนายกฯ ครับ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี