เมืองและชุมชนที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุ: ความจำเป็นสำหรับประเทศไทย
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับสังคมสูงวัย (Aging Society) ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับประเทศอื่น โดยประเทศไทยได้เข้าสู่สถานะ “สังคมสูงวัย” ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 เนื่องจากมีประชากรเกิน 10% ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป และมีแนวโน้มว่าประเทศไทยจะกลายเป็น “สังคมสูงวัยระดับรุนแรง”ภายในปี พ.ศ. 2574 ซึ่งจะมีประชากรเกินกว่า 20% ที่มีอายุเกิน 65 ปีปัญหาสังคมสูงวัยนี้เกิดจากปัจจัยหลายๆ อย่าง เช่น อัตราการเกิดที่ลดลงและอายุขัยที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม หนึ่งในปัญหาสำคัญที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันคือการขยายตัวของเมืองที่ขาด “หลักการออกแบบอย่างเท่าเทียม” (Universal Design) ทำให้โครงสร้างและระบบสาธารณะต่างๆ ของประเทศไทยในปัจจุบันยังไม่มีคุณภาพและความพร้อมมากพอสำหรับรองรับสถานการณ์ผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นการปรับนโยบายการวางผังเมืองและการพัฒนาเมืองให้เหมาะสมเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุน “การแก่ช้าอย่างเข้มแข็ง” จึงมีความจำเป็นอย่างมาก รัฐบาลและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจำเป็นต้องคำนึงถึงความสะดวกในการเข้าถึงสิ่งต่างๆ และการมีส่วนร่วมในสังคมของผู้สูงอายุ รวมถึงต้องเร่งพัฒนาเมืองที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุ ทั้งนี้แนวคิดของเมืองที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุนั้น ไม่เพียงแค่รองรับผู้สูงอายุเพียงเท่านั้น แต่ยังต้องมุ่งเน้นไปที่การสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นต่อคุณภาพชีวิตของผู้คนทุกวัยและทุกสภาพความสามารถ
การปรับการวางผังเมืองเพื่อการแก่ช้าอย่างแข็งแรง
การวางผังเมืองมีบทบาทสำคัญในการกำหนดสภาพแวดล้อมทางกายภาพและสังคมของเมืองและชุมชนอย่างมาก ดังนั้นเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุในประเทศไทย นักวางผังเมืองและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกำหนดนโยบายจำเป็นต้องคิดอย่างรอบด้านเกี่ยวกับความต้องการของประชาชนผู้สูงอายุ เมื่อมองการวางผังเมืองผ่านการออกแบบอย่างเท่าเทียมแล้ว องค์ประกอบที่จำเป็นต่อการสร้างเมืองที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุ ได้แก่
1.การเข้าถึงสาธารณูปโภค: การออกแบบสถานที่สาธารณะ อาคาร ระบบขนส่ง และโครงสร้างพื้นฐานจำเป็นต้องคำนึงว่ามีความสะดวกสบายต่อผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาเรื่องการเคลื่อนไหว เช่นทางลาดสำหรับรถเข็น ลิฟต์ และทางเดินเท้าที่สะดวก
2.ความปลอดภัยในการใช้พื้นที่ในสังคม: ภาครัฐและภาคเอกชนจำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยในชุมชนและพื้นที่ส่วนรวม เช่น สวนสาธารณะ การติดตั้งไฟข้างถนนอย่างเพียงพอ ทางเท้าที่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี และมีหน่วยงานที่คอยสอดส่องและป้องกันอาชญากรรมที่อาจเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุที่ต้องอาศัยอยู่คนเดียว
3.การมีส่วนร่วมกับชุมชนและสังคม: หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งคนในสังคมต้องไม่กีดกันการมีส่วนร่วมของผู้สูงอายุในการทำกิจกรรมทางสังคมต่างๆ และการมีบทบาทในกระบวนการทางการเมือง อีกทั้ง ยังต้องส่งเสริมการมีส่วนร่วมกับสังคมและชุมชน โดยการสร้างโอกาสสำหรับการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างวัย การจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรม และกิจกรรมสันทนาการที่ตรงกับความสนใจของประชาชนผู้สูงอายุ
4.สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี: การออกแบบผังเมืองให้มีพื้นที่สีเขียว สวนสาธารณะ และสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ เพื่อส่งเสริมการออกกำลังกาย การรักษาสุขภาพจิต และการเป็นส่วนหนึ่งทางสังคมของผู้สูงวัย
5.การเข้าถึงที่อยู่อาศัย: ภาครัฐจำเป็นต้องส่งเสริมการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ เช่น อพาร์ทเมนท์สำหรับผู้สูงอายุ สถานดูแลผู้สูงอายุ และชุมชนร่วมอยู่อาศัยที่เอื้อต่อการอยู่อาศัยอย่างอิสระ รวมถึงเครือข่ายการสนับสนุนทางสังคมที่ช่วยเหลือผู้สูงอายุที่อาศัยคนเดียวได้
การร่วมมือเพื่อสร้างสังคมเมืองที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุ
การสร้างเมืองและชุมชนที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุในประเทศไทย จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย ทั้งหน่วยงานภาครัฐนักวางผังเมือง องค์กรชุมชน และประชาชนในพื้นที่ เพื่อผลักดันให้เกิดการทำงานร่วมกันของผู้มีส่วนได้เสียอย่างมีธรรมาภิบาล (ธรรมาภิบาล = การบริหารจัดการที่ดีและมีประสิทธิภาพ) โดยมีกระบวนการดังนี้
1.มีส่วนร่วมอย่างทั่วถึง: การเปิดโอกาสให้ประชาชนผู้สูงอายุกลุ่มองค์กรชุมชน และองค์กรสนับสนุน เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการวางผังเมือง เพื่อให้แน่ใจว่าเสียงสะท้อนและความกังวลของพวกเขา ได้รับการรับฟังและนำไปพิจารณาในการตัดสินใจ
2.สร้างการรับรู้สาธารณะ: การรณรงค์และปลูกฝังจิตสำนึกให้กับประชาชนเกี่ยวกับความสำคัญของเมืองและชุมชนที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุ โดยใช้วิธีการรณรงค์ทางการศึกษา เวทีสาธารณะ และกิจกรรมชุมชนต่าง ๆ เพื่อเน้นย้ำถึงประโยชน์ของการสร้างเมืองที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุ และการมีส่วนร่วมทางสังคมของผู้สูงอายุ
3.ระดมทรัพยากร: การระดมทรัพยากรและงบประมาณ จากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อสนับสนุนการริเริ่มโครงการต่างๆ และโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการสร้างสังคมเมืองที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุ
4.ประเมินและปรับปรุง: การติดตาม ประเมินผล ความสำเร็จของนโยบายและโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเมืองที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุ โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย ได้แสดงความคิดเห็น เพื่อนำไปปรับปรุงและพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สังคมที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุ…และเอื้อประโยชน์ให้กับทุกคน
หากสามารถสร้างสังคมที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุได้ ประโยชน์หลายประการก็จะเกิดขึ้น และเอื้อให้ผู้คนทั้งสังคมสามารถมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้ไปพร้อมๆ กัน
l คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับผู้สูงอายุ: โครงสร้างพื้นฐานที่เข้าถึงได้ง่าย สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย และที่อยู่อาศัยที่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ พวกเขาสามารถดำรงชีวิตอย่างอิสระ เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม และอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีมากขึ้น
l โครงสร้างทางสังคมที่แข็งแกร่งขึ้น: การส่งเสริมการรวมตัวทางสังคมผ่านศูนย์ชุมชนและโครงการระหว่างวัย จะช่วยลดปัญหาการโดดเดี่ยวของผู้สูงอายุ สิ่งเหล่านี้นำไปสู่สังคมที่ให้การสนับสนุนและเอื้ออาทรกันมากขึ้น
l ภาระของครอบครัวลดลง: การสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุ จะช่วยแบ่งเบาภาระในการดูแลสมาชิกครอบครัวที่เป็นผู้สูงอายุ ช่วยให้ครอบครัวสามารถมุ่งเน้นไปที่การทำงานและภาระหน้าที่อื่นๆ ด้วยจิตใจที่สบายขึ้น
l กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น: ประชากรผู้สูงอายุที่แข็งแรงและมีส่วนร่วมสามารถมีส่วนช่วยต่อเศรษฐกิจได้มากขึ้น พวกเขาอาจเข้าร่วมงานอาสาสมัคร เป็นที่ปรึกษาให้กับคนรุ่นหลัง หรือแม้กระทั่งเริ่มธุรกิจขนาดย่อม
l ภาพลักษณ์ของชาติที่ดีขึ้น: ชื่อเสียงในฐานะสังคมที่ดูแลผู้สูงอายุ จะช่วยดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถและส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งส่งผลดีต่อประเทศโดยรวม
ความท้าทายที่อาจเกิดขึ้น:
ต้นทุนในการดำเนินการ: การสร้างโครงสร้างพื้นฐานและบริการที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุ ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ภาครัฐและภาคเอกชนจำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อหาแนวทางการจัดสรรงบประมาณที่ยั่งยืน
l การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม: ตามประเพณีไทยแล้ว เป็นเรื่องของลูกหลานที่ต้องดูแลผู้สูงอายุของตนเอง การสร้างให้เกิดสังคมที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุอาจต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมไปสู่การใช้ระบบสนับสนุนจากชุมชนควบคู่ไปกับการดูแลจากครอบครัว
l การบริหารจัดการและบำรุงรักษา: การดูแลให้โครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุ สามารถใช้งานได้อย่างยาวนานและมีการบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษาผลกระทบเชิงบวกให้คงอยู่
จะเห็นได้ว่าการสร้างเมืองและชุมชนที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุในประเทศไทย ไม่ใช่แค่เรื่องของการออกแบบผังเมืองเท่านั้นแต่เป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการสร้างสภาพแวดล้อมที่คำนึงถึงความเป็นอยู่ที่ดี และการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกวัยโดยไม่คำนึงถึงข้อจำกัดด้านร่างกายหรืออายุ ด้วยการยึดมั่นในหลักการของการเข้าถึงระบบสาธารณะอย่างเท่าเทียม ความปลอดภัย การมีส่วนร่วมทางสังคม และการทำงานร่วมกันของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด จึงจะสามารถทำให้ประเทศไทยก้าวไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนและเท่าเทียมกัน
ญาณิกา โกมลสิงห์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี