เมื่อวานนี้ (28 มี.ค. 2567) นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตแกนนำเสื้อแดงรุ่นแรกๆ เดินทางกลับสู่ประเทศไทย
หลังเดินทางหลบหนีออกนอกประเทศไทยกว่า 15 ปี
มีคดี มีหมายจับติดตัว
ทันทีที่ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ตำรวจก็ควบคุมตัวไปที่กองบังคับการปราบปราม เพื่อสอบปากคำ
1. หมายจับนายจักรภพที่ยังติดตัวอยู่ คือ คดีข้อหาร่วมกันมีอาวุธ เครื่องกระสุนปืนและวัตถุระเบิด ที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย และข้อหาอั้งยี่ จากกรณีพบความเชื่อมโยงกับอาวุธสงครามจำนวนมากซุกในบ่อน้ำพื้นที่ อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา เมื่อปี 2560
โดยพนักงานสอบสวนในคดีดังกล่าว ตรวจสอบอาวุธที่ยึดได้พบมีความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์คดีทางการเมือง เมื่อปี 2557 เช่น ชิ้นส่วน หรือซีเรียลนัมเบอร์ของอาวุธ
นายจักรภพ เปิดเผยว่า ดีใจที่กลับมาถึงประเทศไทย ยอมรับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางคดี
เบื้องต้น ได้มีการปฏิเสธข้อหาทั้งหมด 2 ข้อหา
ทีมทนายได้ยื่นประกันตัวในชั้นสอบสวนวางเงินประกัน คดีละ 200,000 บาท และได้รับการประกันตัว
2. คุยกับนายใหญ่แล้ว ก่อนกลับ
นายจักรภพยอมรับว่า ได้มีการพูดคุยกับทักษิณ ชินวัตร ผ่านโทรศัพท์
ส่วนใหญ่เน้นถามเรื่องปัญหาสุขภาพ ชีวิตความเป็นอยู่ ทักษิณบอกว่า หลายอย่างเปลี่ยนไป
หากได้รับเชิญให้ไปทำงานร่วมกับรัฐบาล ก็ไม่ปฏิเสธ แต่ขอไปแบบสร้างสรรค์ ไม่ให้เกิดความขัดแย้ง ถ้าเวลายังไม่เหมาะขออยู่เบื้องหลังไปก่อน
พร้อมเป็นแกนนำพาคนเสื้อแดงที่ลี้ภัยกลับสู่มาตุภูมิ เช่น จารุพงศ์เรืองสุวรรณ รวมถึงทุกคน ซึ่งรวมไปถึงนางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ด้วย
3. ก่อนหน้านี้ มีแกนนำเสื้อแดง นักการเมืองหลายคน หนีคดีไปต่างประเทศ
ทั้งหมด ล้วนแต่หลบหนีไปเอง
ไม่มีใครห้ามกลับประเทศ
กรณีของนายจักรภพ สถานีข่าวท็อปนิวส์ รายงานว่า ตรวจสอบทราบ พบว่า ก่อนหน้านี้ เคยถูกดำเนินคดี 2 กรณี
กรณีแรก เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีครอบครองอาวุธสงครามที่คสช.ร้องทุกข์กล่าวโทษ ซึ่งศาลได้ออกหมายจับพร้อม พล.ท.มนัส เปาริก อดีตรองแม่ทัพ ภ.3 และพวกเมื่อปี 2560
ปรากฏว่า คดีนี้ต่อมาวันที่ 10 สิงหาคม 2565 ศาลอาญายกฟ้อง พล.ท.มนัส กับพวก ว่าไม่ได้กระทำความผิด เนื่องจากมองว่า ไม่มีหลักฐานเพียงพอ
กรณีที่สอง เป็นคดีหมิ่นประมาทสถาบันกษัตริย์ฯตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 จากเหตุการณ์ที่นายจักรภพกล่าวบรรยายพิเศษเป็นภาษาอังกฤษที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) เรื่อง ประชาธิปไตยกับระบบอุปถัมภ์ ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2550
ปรากฏว่า คดี 112 นี้ อัยการสั่งไม่ฟ้องเมื่อเดือนกันยายนปี 2554
ส่วนคดีอื่นๆ ถ้ามี ก็น่าจะขาดอายุความหมดแล้ว เพราะเจ้าตัวหนีไปอยู่ต่างประเทศกว่า 15 ปี
เพราะอย่างนี้เอง นายจักรภพจึงมั่นใจว่าสามารถต่อสู้คดี และคาดว่าจะรอด
เพราะเหลือคดีอาวุธสงครามคดีเดียว ที่เพิ่งได้รับการประกันตัวไป และคดีนั้น ผู้ต้องหาคนอื่นๆ ก็รอดไปหมดแล้วจากการที่ศาลพิพากษายกฟ้อง
4.ร่วมทัพรัฐบาลเศรษฐา ?
นายจักรภาพ นับเป็นขุนพลคนสำคัญตั้งแต่สมัยรัฐบาลไทยรักไทย
เคยเป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในยุครัฐบาลทักษิณ
ต่อมา สมัยรัฐบาลสมัคร นายจักรภพก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสื่อมวลชนภาครัฐ เปลี่ยนแปลงสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 เป็นสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (เอ็นบีที)
ประกอบคำพูดของนายจักรภพ ที่ว่าได้คุยโทรศัพท์กับทักษิณก่อนกลับแล้ว
จึงมีความเป็นไปได้มากว่า หลังจากนี้ นายจักรภพก็คงจะเข้าไปมีบทบาททำงานการเมืองอย่างแน่นอน
5. การที่นายจักรภพบอกว่า คุยกับทักษิณ ทักษิณกล่าวว่าหลายอย่างเปลี่ยนไป
ขณะที่ทักษิณ ชินวัตร กลับเมืองไทยเที่ยวนี้ ขอพระราชทานอภัยโทษ ยอมรับผิดตามคำพิพากษาของศาล ประกาศตนว่าจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
ตัวนายจักรภพเล่า จะแสดงตนอย่างไร? จะชี้แจงอย่างไรกับจุดยืน คำพูด การกระทำ ในช่วงที่ผ่านมา?
ได้คิดใหม่ ตกผลึก และมีสำนึกจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์แล้วหรือไม่?
จะแสดงจุดยืนความชัดเจนให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชนในประเด็นสำคัญนี้อย่างไร?
ยังสนับสนุนแนวร่วมม็อบ 3 นิ้วที่จาบจ้วงสถาบันอยู่หรือไม่?
สนับสนุนการนิรโทษกรรมคดี 112 หรือไม่?
พร้อมจะต่อสู้ยืนหยัดเพื่อปกป้องสถาบันพระมหากกษัตริย์ให้ดำรงอยู่ยั่งยืนตลอดไปหรือไม่?
ถ้าแสดงตนชัดเจน เชื่อแน่ว่า นายจักรภพมีโอกาสถึงขั้นนั่งใน ครม.ด้วยซ้ำ
6. น่าสังเกตว่า นายจักรภพได้โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา (ก่อนประกาศจะกลับเมืองไทย) ระบุว่า
“...ขอทิ้งท้ายว่า โลกของเรากำลังเปลี่ยนผันในทุกทิศทุกทาง ประเทศไทยต้องคิดหยุดต่อสู้กันเองในบ้านและปรับความคิด-ยุทธศาสตร์ทุกมิติเพื่อรับมือได้แล้ว
จากนี้ไป สังกัดสีไหนก็ประสบปัญหาอย่างเดียวกัน
ความคลั่งชาติ ไม่ช่วยชาติ เท่ากับความเข้าใจและความหวังดีที่มีต่อชาติ
และสงครามใดๆ ก็ทิ้งซากแห่งความเสียหายไว้มากกว่าผลสัมฤทธิ์เสมอ”
เนื้อหาเหมือนพูดเป็นนัยว่า กำลังจะสลายสีเสื้อ และยุติสงครามความขัดแย้งภายในชาติไทย
หลังจากนี้ คงอยู่ที่นายทักษิณ ชินวัตร จะใช้งานนายจักรภพอย่างไร?
โดยขึ้นอยู่กับว่า นายจักรภพสามารถเคลียร์ข้อครหาของตนเองต่อสังคมให้เกิดการยอมรับได้แค่ไหน
โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับจุดยืน ท่าที และการกระทำต่อสถาบันพระมหากษัติรย์ในอดีต ที่จะกลับมาตามหลอกหลอนเจ้าตัวต่อไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี