เหลือเชื่อจริงๆ ที่ผู้บริหารจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยคือ บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ และผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คือ เกศินี วิฑูรชาติ ซึ่งทั้งสองคนคืออธิการบดีของมหาวิทยาลัยเก่าแก่ของประเทศไทยทั้งสองแห่ง อย่าลืมว่าทั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ต่างก็ได้รับการยกย่องจากสาธารณชนมาช้านานว่า เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่เป็นอันดับ 1 และ 2 ของประเทศไทย แต่ไม่น่าเชื่อว่าผู้บริหารมหาวิทยาลัยทั้งสองคนจะกล้าทำในสิ่งที่ประจานตัวเองได้อย่างน่าสมเพชอย่างที่สุด โดยการประจานตัวเองในครั้งนี้เกิดขึ้นในงานแข่งฟุตบอลระหว่างมหาวิทยาลัยทั้งสอง เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2567 ณ สนามกีฬาแห่งชาติ ปทุมวัน
อันที่จริง มีเกมการแข่งขันฟุตบอลประเพณีระหว่างมหาวิทยาลัยทั้งสองมายาวนานนับศตวรรษ โดยใช้ชื่อว่า ฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ หรือฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์-จุฬาฯ โดยขึ้นอยู่กับว่ามหาวิทยาลัยแห่งใดเป็นเจ้าภาพจัดงาน หากจุฬาฯ เป็นเจ้าภาพก็นำชื่อจุฬาฯ ขึ้นก่อน หากธรรมศาสตร์ เป็นเจ้าภาพ ก็นำชื่อธรรมศาสตร์ขึ้นก่อน การแข่งขันฟุตบอลประเพณีของทั้งสองสถาบันการศึกษาดำเนินมายาวนานหลายสิบปีจนเกือบครบศตวรรษ แต่ก็ต้องหยุดการจัดงานไปในช่วงที่ประเทศไทยและโลกทั้งใบถูกโควิด-19 เล่นงานอย่างหนัก แล้วหลังจากนั้น ฟุตบอลประเพณีของมหาวิทยาลัยทั้งสองก็หยุดชะงักลง จวบจนปัจจุบันเมื่อโควิด-19 ไม่ได้เป็นอุปสรรคการจัดงาน แต่ก็ยังไม่มีการจัดงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ หรือธรรมศาสตร์-จุฬาฯ ทั้งนี้ยังไม่รู้แน่ชัดว่าในอนาคตจะมีการจัดงานฟุตบอลประเพณีของมหาวิทยาลัยทั้งสองอีกหรือไม่ แต่เท่าที่มีการวิพากษ์กันก็คือ ผู้บริหารมหาวิทยาลัยไม่กล้าจัดงานฟุตบอลประเพณีฯ เพราะกลัวนิสิตและนักศึกษาที่ไม่เห็นด้วยกับการจัดงาน จะลุกขึ้นมาเล่นงานผู้บริหาร
ส่วนการจัดแข่งฟุตบอลระหว่างมหาวิทยาลัยทั้งสองเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2567 ณ สนามกีฬาแห่งชาติ ปทุมวัน ไม่ใช่การจัดงานฟุตบอลประเพณีของมหาวิทยาลัย เพราะผู้จัดไม่ได้ใช้ชื่อว่าฟุตบอลประเพณี ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะใครมีปัญญาจัดงานอะไร ก็สามารถจัดได้ แต่ที่น่าสมเพชเวทนาเป็นที่สุดคือในงานดังกล่าวนั้น อธิการบดีของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยดันไปเป็นประธานในงานร่วมกับอธิการบดีของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถามว่าอธิการบดีของมหาวิทยาลัยทั้งสองไม่ตะขิดตะขวงใจ หรือมีความสำนึกสำเหนียกบ้างเลยหรือว่า มหาวิทยาลัยที่ตนเองมีโอกาส หรือฉวยโอกาสจนได้เข้าไปเป็นอธิการบดีนั้น เคยมีงานสำคัญและยิ่งใหญ่มาตั้งแต่ก่อนที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยทั้งสองจะเกิด แล้วลืมตามาดูโลกใบนี้ แล้วจนกระทั่งได้มาเป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัย งานสำคัญและยิ่งใหญ่นั้นคืองานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ หรือธรรมศาสตร์-จุฬาฯ
ในเมื่อทั้งสองรายมีตำแหน่งอธิการบดีของมหาวิทยาลัยทั้งสอง ก็น่าจะต้องรู้อยู่แก่ใจว่ามหาวิทยาลัยมีงานประเพณีมายาวนานนับศตวรรษ แล้วเหตุไฉนจึงไม่จัดงานประเพณีนั้นให้สืบเนื่องสืบต่อกันไป แต่เหตุใดจึงแค่จัดงานเลียนแบบขึ้นมา โดยงานที่จัดนั้นไม่ได้มีความใหม่ หรือว่าใช้สติปัญญาใดๆ ในการจัดเลยแม้แต่น้อย
ข้อย้ำว่าเป็นการจัดงานเลียนแบบงานฟุตบอลประเพณีของมหาวิทยาลัยทั้งสอง เพียงแต่ไม่ได้ใช้ชื่อว่าฟุตบอลประเพณีฯเท่านั้น
มีคำถามจากสาธารณชนว่า ผู้บริหารมหาวิทยาลัยทั้งสองแห่งสนับสนุนให้ล้มเลิกการจัดงานฟุตบอลประเพณีฯ ใช่หรือไม่ และมีคำถามตามมาอีกว่า การที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยทั้งสองไปร่วมเป็นประธานในงานเลียนแบบฟุตบอลประเพณีฯ เพราะต้องการล้มล้างงานฟุตบอลประเพณีฯ ใช่หรือไม่
หากผู้บริหารมหาวิทยาลัยทั้งสองจะใช้สติปัญญาสักเล็กน้อยเพื่อกลั่นกรอง และไตร่ตรองให้ดีก่อนอนุมัติการจัดงานด้งกล่าว ก็น่าจะทำให้สาธารณชนดูแคลนสติปัญญาของผู้บริหารมหาวิทยาลัยทั้งสองได้น้อยลงบ้าง เพราะไม่ใช่เรื่องผิดหากผู้บริหารมหาวิทยาลัยทั้งสองจะจัดงานใหม่ แปลก แหวกแนวขึ้นมา โดยไม่ต้องอาศัยรากเหง้า และรูปแบบเดิมของงานฟุตบอลประเพณีฯ เพราะในเมื่อจะล้มงานเดิม แล้วจัดงานใหม่ ก็ต้องทำงานในรูปแบบใหม่ทั้งหมด ไม่ต้องลอกเลียนหรือนำรากเหง้าเดิมของงานเดิมเข้าไปอยู่ในงาน ซึ่งนั่นก็น่าจะยังพอจะทำให้สาธารณชนมองเห็นถึงระดับสติปัญญาและการสร้างสรรค์งานใหม่ๆ ขึ้นมาได้บ้าง
มีคำถามที่น่าคิดว่า ผู้บริหารจุฬาฯ รู้สึกหน้าชาหรือคล้ายๆ ถูกตบหน้าบ้างหรือไม่ เมื่อเห็นพระเกี้ยวถูกนำไปวางไว้บนหลังรถกอล์ฟ แล้วรอบๆ พระเกี้ยวเต็มไปด้วยสิ่งคล้ายขยะ และสิ่งปฏิกูล มีคำถามอีกว่า ผู้บริหารจุฬาฯอนุญาตให้นำพระเกี้ยวไปอยู่แบบผิดที่ผิดทางในงานดังกล่าวได้อย่างไร ทั้งๆ ที่งานนั้นไม่ใช่งานฟุตบอลประเพณีฯ แล้วมีคำถามอีกว่า ผู้บริหารจุฬาฯ และธรรมศาสตร์ด้วย ภูมิใจมากใช่ไหมกับการเป็นประธานการจัดงานที่ประจานตัวเองได้มากถึงเพียงนี้หรือว่านี่คือการบรรลุเป้าหมายในการล้มล้างงานฟุตบอลประเพณีฯส่วนที่มีคนสอนหนังสือในจุฬาฯ บางรายบอกว่า ทำไมเดือดร้อนกันจังเลยในเรื่องพระเกี้ยว ทำไมไม่ให้คนแก่ไปแบกพระเกี้ยว จะได้ไม่ต้องใช้แรงนิสิตเชิญพระเกี้ยวคำถามนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า คนสอนหนังสือจำนวนหนึ่งในจุฬาฯ มี EQต่ำมาก สงสัยที่บ้านคนสอนหนังสือรายนั้นคงใช้ผ้าเช็ดเท้าเป็นผ้าเช็ดปาก เพราะเห็นว่าเป็นผ้าเหมือนกันกระมัง การเชิญพระเกี้ยวด้วยแรงคนหรือด้วยรถกอล์ฟก็คือการเชิญพระเกี้ยวอยู่ดี ส่วนจะใช้แรงงานนิสิตหรือแรงงานคนแก่ ก็แรงงานคนเหมือนกันนั่นแหละ คนสอนหนังสือจำพวก EQ ต่ำในจุฬาฯ ไม่มีวันเข้าใจและตระหนักในเรื่องประเพณี เพราะเกิดมาในสังคมที่ไร้การอบรมบ่มเพาะให้เห็นคุณค่าและความสำคัญของขนบประเพณี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี