วันนี้คือวันที่ ๑๕ เมษายน ซึ่งถือว่าเป็นวันเถลิงศกหรือวันเริ่มต้นของปีพุทธศักราช ๒๕๖๗ แต่ถ้าเรียกวันนี้ตามประเพณีของชาวล้านนาหรือชาวเหนือ ก็จะเรียกวันนี้ว่าวันพญาวัน ซึ่งมีความหมายว่าเป็นวันเริ่มต้นของปีเช่นกัน เป็นวันที่มีการทำบุญตักบาตรอุทิศส่วนกุศลต่างๆ สรงน้ำพระ ทำความสะอาดบ้านเรือน
ตามธรรมเนียมของชาวล้านนานั้น มีการเรียกวันแต่ละวันวันที่ ๑๓ เมษายนจนถึงวันที่ ๑๕ เมษายน แตกต่างจากธรรมเนียมของคนภาคกลาง โดยจะเรียกวันที่ ๑๓ เมษายนว่าเป็นวันสังขารล่อง ซึ่งคือวันสิ้นสุดของปีที่กำลังจะผ่านพ้นไป เป็นวันที่จะทบทวนว่าในรอบปีที่ผ่านมานั้นได้ทำอะไรบ้าง ทั้งที่เป็นเรื่องดีและไม่ดี ส่วนวันที่ ๑๔ เมษายน จะเรียกว่าวันเน่าเป็นวันที่เชื่อมต่อระหว่างปีเก่าและปีใหม่เป็นวันที่ไม่ควรจะพูดจาในสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย ไม่กล่าวร้ายกับใคร ไม่พูดในเรื่องที่เสื่อมเสียและไม่เป็นมงคล เป็นวันที่จะเตรียมสิ่งของไปวัด ส่วนวันที่ ๑๕ เมษายน เรียกว่าวันพญาวันตามที่ได้กล่าวไปแล้ว ทั้ง ๓ วันนี้ถือเป็นช่วงของวันสงกรานต์
คำว่าสงกรานต์นั้นมาจากภาษาสันสกฤต มีความหมายว่าการเคลื่อนย้าย หมายถึง การเคลื่อนของจักรราศีจากราศีมีนไปสู่ราศีเมษ โดยดั้งเดิมนั้นถือว่าเป็นการเริ่มต้นของปีใหม่ ไม่ใช่เฉพาะของไทยเท่านั้นแต่รวมทั้งบางประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย เช่น ลาว เขมร พม่า เวียดนามบางส่วน รวมไปถึงบางพื้นที่ของอินเดีย เนปาล ศรีลังกา และบางมณฑลของจีนตอนใต้ด้วย ซึ่งเดิมนั้น ประเทศไทยถือเอาวันที่ ๑๓ เมษายนเป็นวันปีใหม่จนถึงปีพุทธศักราช ๒๔๓๑ และเปลี่ยนมาเป็นวันที่ ๑ เมษายนเป็นวันขึ้นปีใหม่จนถึงพุทธศักราช ๒๔๘๓ ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นวันที่ ๑ มกราคม ที่เป็นแบบสากลเช่นปัจจุบัน
ส่วนเรื่องของประเพณีการสาดน้ำหรือรดน้ำดำหัวในวันสงกรานต์ของไทยนั้น เชื่อกันว่าน่าจะสืบทอดมาจากเทศกาลโฮลิของอินเดียอันเป็นประเพณีเก่าแก่ เป็นวันที่ชาวอินเดียสาดผงสีเข้าใส่กัน แต่เมื่อ นำมาสู่ประเทศไทยนั้นได้เปลี่ยนมาเป็นการสาดน้ำหรือรดน้ำดำหัวแทน เนื่องจากช่วงวันดังกล่าวเป็นฤดูร้อน ที่มีอากาศร้อนจัด การสาดน้ำจึงเป็นการช่วยบรรเทาหรือลดความร้อนให้แก่กัน และยังเชื่อว่าน้ำจะช่วยชำระเอาสิ่งที่ไม่ดีออกไปได้ด้วย ซึ่งประเพณีสงกรานต์ของไทยนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว ปรากฏในกฎมณเฑียรบาลสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ได้กล่าวถึงพระราชพิธีเผด็จศก พระราชพิธีแจตร ซึ่งเป็นพระราชพิธีที่กล่าวถึงการตัดจากปีเก่ามาสู่ปีใหม่ ส่วนในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้กล่าวถึงพิธีแจตรว่า น่าจะเป็นพิธีรดน้ำเดือน ๕ ซึ่งตามจันทรคติจะตรงกับเดือนเมษายน โดยเป็นพิธีที่เกิดมาตั้งแต่อยุธยาตอนต้นแล้ว
จึงถือว่าสงกรานต์เป็นประเพณีสำคัญของไทย เป็นประเพณีที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมและความเชื่อที่สืบทอดมายาวนาน โดยชาวไทยทั้งหลายจะออกมาทำกิจกรรมต่างๆ ในช่วงของสงกรานต์ ได้แก่
การทำบุญตักบาตร โดยนิยมจะไปทำที่วัด มีการสวดมนต์ รักษาศีล ใส่บาตร ถวายอาหารแก่พระสงฆ์ สรงน้ำพระพุทธรูป ซึ่งจะกระทำทั้งที่วัดและที่บ้านของตนเอง ถือว่าเป็นการกระทำให้จิตใจสะอาดผ่องแผ้ว เป็นสิริมงคลต่อชีวิต และยังเป็นส่วนหนึ่งของการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาด้วย
การทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษ ถือเป็นการแสดงความเคารพยกย่อง และระลึกถึงพระคุณบิดามารดา ญาติผู้ใหญ่ และผู้ที่เคยอุปถัมภ์ค้ำชูทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว อันเป็นการแสดงถึงความมีกตัญญูกตเวที
การรดน้ำดำหัว เป็นการแสดงความเคารพและกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ เช่น บุตรหลานกระทำต่อพ่อแม่ปู่ย่าตายายทั้งหลาย พุทธศาสนิกชนต่อพระภิกษุสงฆ์ ผู้ใต้บังคับบัญชาต่อผู้บังคับบัญชา ซึ่งท่านเหล่านั้นก็จะให้ศีลให้พร อันเป็นมงคลทั้งหลายแก่ผู้ที่เข้าไปทำพิธีรดน้ำ
การเล่นน้ำและสาดน้ำ เป็นการกระทำระหว่างญาติพี่น้อง เพื่อนสนิทมิตรสหาย หรือแม้แต่บุคคลอื่น ที่แสดงถึงความปรารถนาดีต่อกัน การสร้างสัมพันธ์อันดี ซึ่งรวมถึงการให้พรซึ่งกันและกันด้วย รวมทั้งได้ความสนุกสนานที่เกิดขึ้นอย่างมากมาย แต่ทั้งนี้ต้องไม่กระทำจนเป็นความเดือดร้อนของผู้อื่น
การปล่อยนกปล่อยปลา ถือเป็นการล้างบาปที่ได้กระทำไว้ เป็นการสะเดาะเคราะห์ร้ายให้กลายเป็นดี ให้มีความสุขความสบายในปีใหม่
การขนทรายเข้าวัด เป็นประเพณีนิยมทางภาคเหนือ เพื่อเป็นนิมิตโชคลาภให้มีแต่ความสุขความเจริญ ทรัพย์สินเงินทองไหลมาเทมา มีปริมาณมากมายดุจจำนวนเม็ดทรายที่ขนเข้าวัด ส่วนบางพื้นที่ก็เชื่อว่าทุกครั้งที่เข้าวัด ได้เหยียบเม็ดทรายออกไปจากวัดด้วย เมื่อถึงวันสงกรานต์จึงควรขนทรายกลับมาคืนให้กับวัด อันจะเป็นสิริมงคลเช่นกัน
การละเล่นรื่นเริงต่างๆ ก็มักจะเป็นสิ่งที่ควบคู่ไปกับเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งจะมีทั้งการแสดง ร้องรำทำเพลง เช่น เพลงยาว ลำตัด รำวง มอญซ่อนผ้า งูกินหาง ชักเย่อและอื่นๆ เกือบจะทุกรูปแบบ เพื่อสร้างความสนุกสนานสามัคคีให้เกิดขึ้น รวมทั้งการประกวดนางสงกรานต์
ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่จะทำควบคู่กันไปและถือว่าสำคัญยิ่งคือการแห่นางสงกรานต์ ซึ่งในปีนี้นางสงกรานต์มีชื่อว่ามโหธรเทวี เป็นนางสงกรานต์ประจำวันเสาร์ มียานพาหนะเป็นนกยูง ทรงพาหุรัด ทัดดอกสามหาว พระหัตถ์ขวาถือจักร พระหัตถ์ซ้ายถือตรีศูล
โดยนางมโหธรเทวีนี้ เป็นหนึ่งในเจ็ดนางที่มีหน้าที่ในการแห่ศีรษะของท้าวกบิลพรหม เพื่อไม่ให้ศีรษะของท้าวกบิลพรหมที่ถูกตัดออกจากการพ่ายแพ้ในการสร้างคำถามเพื่อให้ธรรมบาลกุมาร บุตรของเศรษฐีใจบุญผู้หนึ่งเป็นผู้ตอบ โดยมีคำถามว่าตอนเช้า ตอนกลางวัน และตอนเย็น สิริ คือราศีอยู่ที่ไหน และเมื่อธรรมบาลตอบได้ จากการที่ไปแอบอยู่ใต้ต้นไม้แล้วได้ยินนกอินทรีย์ผัวเมียพูดคุยกัน ท้าวกบิลพรหมจึงเป็นผู้พ่ายแพ้และยอมถูกตัดศีรษะ แต่หากศีรษะตกลงสู่พื้นดิน จะทำให้เกิดไฟไหม้ทั่วพื้นพสุธา หากโยนขึ้นไปในอากาศ จะทำให้ฝนฟ้าแล้ง และถ้าทิ้งลงในมหาสมุทร น้ำก็จะเหือดแห้ง จึงได้สั่งให้นางทั้งหลายผู้เป็นธิดาเป็นผู้คอยรับ ศีรษะของท้าวกบิลพรหม และให้นำออกมาแห่ปีละ ๑ ครั้งในช่วงวันสงกรานต์
ในปีใหม่นี้ ชาวไทยจำนวนไม่น้อยตั้งความหวังไว้ว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันจะบริหารชาติของเราให้มีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า รวมทั้งการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศให้กระเตื้องขึ้น จากเดิมที่ตัวเลข GDP ของปี ๒๕๖๖ อยู่ที่ประมาณ ๑.๘% โดยตั้งเป้าว่าการแจกเงินดิจิทัลจำนวน ๑๐,๐๐๐ บาทให้กับประชากร ๕๐ ล้านคน ที่มีอายุตั้งแต่ ๑๖ ปี มีเงินเดือนน้อยกว่า ๗๐,๐๐๐ บาท และมีเงินฝากน้อยกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท โดยจ่ายเป็นเงินดิจิทัลผ่าน Application อะไรก็ยังไม่รู้ เพื่อนำไปซื้อสินค้าอุปโภค-บริโภคจากร้านค้าที่มีระบบจัดเก็บภาษี ที่อยู่ในอำเภอเดียวกันกับที่อยู่อาศัยโดยจะเริ่มจ่ายให้ตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไป และคาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจกระเตื้องขึ้น โดย GDP เพิ่มขึ้นอีกประมาณ ๑.๖-๒.๐%
แต่ประเด็นที่ยังเป็นที่ถกเถียงกันคือแหล่งที่มาของเงิน ซึ่งในที่สุดก็สรุปว่ามาจาก ๓ ส่วนคือ งบประมาณแผ่นดินของทั้งปี ๒๕๖๗ ซึ่งจะต้องมีการปรับปรุงเพื่อนำเงินมาใช้ประมาณ ๑๗๕,๐๐๐ ล้านบาท ส่วนที่ ๒ คือเงินยืมซึ่งความจริงก็คือเงินกู้จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ซึ่งรัฐเป็นเจ้าของจำนวน ๑๗๒,๓๐๐ บาท โดยมุ่งจ่ายให้กับเกษตรกรคาดว่าประมาณ ๑๗ ล้านคน ซึ่งตัวเลขจริงน่าจะมีไม่ถึง ส่วนที่ ๓ จำนวน ๑๕๒,๗๐๐ ล้านบาท จะเป็นการตั้งในงบประมาณประจำปีของปี ๒๕๖๘
ประเด็นปัญหาสำคัญอยู่ที่เงินกู้จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์นั้นจะนำมาใช้แจกเป็นเงินดิจิทัล ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการเกษตร ส่งเสริมอาชีพ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรได้หรือไม่ เพราะมีระเบียบปฏิบัติในพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ชัดเจน การนำมาใช้จึงเสี่ยงต่อการกระทำผิดกฎหมายเป็นอย่างยิ่ง เชื่อว่าจะมีคนร้องให้ตรวจสอบความถูกต้องในกรณีนี้อย่างแน่นอน หากเป็นเรื่องผิดก็จะมีผู้ถูกลงโทษ
ถ้ารัฐบาลจะทำทานซึ่งเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับทศพิธราชธรรม ข้อที่ ๑ สังคหวัตถุธรรมข้อที่ ๑ และบุญกิริยาวัตถุข้อที่ ๑ นั้น ก็ต้องถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ทานที่เกิดขึ้นจากธรรมทั้ง ๓ ข้อนั้น ต้องเป็นไปโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคะแนนนิยม หรือผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมแต่อย่างใด ที่สำคัญยิ่งเงินที่นำมาจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรนั้น เป็นเงินของประชาชนที่ฝากไว้กับธนาคารของรัฐ ไม่ใช่เป็นเงินของรัฐบาล การที่จะใช้อำนาจในการนำเงินนั้นมากระทำการใดๆ ก็ได้ เปรียบเสมือนการยืมเงินเชิงบังคับจากคนคนหนึ่งแล้วนำไปแจกให้คนคนอื่นโดยเจ้าของเงินเขาไม่ยอม เป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่ รัฐบาลควรต้องคิดได้เอง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี