เมื่อวันที่ 15 เมษายน ที่ผ่านมา ได้เห็นภาพนายกรัฐมนตรีตัวจริง คือ นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร เปิดบ้านนางเยาวภาและนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวและน้องเขย ในกรีนวัลเลย์ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ให้รัฐมนตรี และ สส.ของพรรคเพื่อไทย ตลอดจนข้าราชการพ่อค้า และประชาชนในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เข้ารดน้ำขอพรเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ โดยใช้ชื่องานว่า “สระเกล้าดำหัวประเพณีปี๋ใหม่เมือง”
เป็นการแสดงให้เห็นถึงอำนาจและบารมีที่มีอยู่จริงของ “ทักษิณ ชินวัตร” ณ เวลานี้ เนื่องจากมีบุคคลดังกล่าวแห่แหนเข้ารดน้ำขอพรนักโทษเด็ดขาดชายผู้นี้ซึ่งอยู่ระหว่างการพักโทษกันอย่างคับคั่ง
ในวันเดียวกันเมื่อตัดภาพไป ณ บ้านพักตากอากาศริมทะเลของนายเศรษฐา ทวีสิน ที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ก็จะเห็นอำนาจและบารมีที่ไม่มีอยู่จริงของนายเศรษฐาได้อย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับ “ทักษิณ ชินวัตร”ที่มีสถานภาพเป็นนักโทษคดีทุจริตโกงชาติโกงแผ่นดิน
ในฐานะที่นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำรัฐบาล ซึ่งถือว่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองที่สำคัญคนหนึ่ง กลับไม่เห็นภาพการ “รดน้ำขอพร” เช่น บรรยากาศในบ้านพักของนางเยาวภาและนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่จังหวัดเชียงใหม่
ภาพที่เห็นก็คือ นายเศรษฐา ทวีสิน ตั้งโต๊ะแถลงข่าวเปิดใจให้สัมภาษณ์สื่อเกี่ยวกับการทำงานบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีในช่วง 7 เดือน ซึ่งดูไปก็ไม่ต่างจากนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลพลัดถิ่นที่ถูกทำรัฐประหารยึดอำนาจ ต้องหนีมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวอย่างเงียบเหงาโดดเดี่ยว ไม่มีบริวารห้อมล้อมแห่แหนอย่างนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร
เป็นเรื่องที่แปลกแต่จริงและเข้าใจได้ นั้นก็เพราะ นายเศรษฐา ทวีสิน ไม่มีอำนาจและบารมีที่มีอยู่จริง จึงไม่มีใครตามแห่แหน เนื่องด้วยนายเศรษฐาไม่สามารถตอบแทนหรือให้ผลประโยชน์ใดๆ แก่ใครได้ โดยเฉพาะตำแหน่งแห่งหนในคณะรัฐบาล และในระบบราชการ
ด้วยเหตุดังนั้น ถนนทุกสายจึงมุ่งสู่บ้านพักกรีนวัลเลย์ของเยาวภาและนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ใช้เป็นสถานที่จัดงาน “สระเกล้าดำหัวประเพณีปี๋ใหม่เมือง” เพราะ “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นผู้ที่สามารถดลบันดาลให้มีให้เป็น หรือไม่ให้มีไม่ให้เป็น ทั้งตำแหน่งแห่งหนและผลประโยชน์แก่ใครก็ได้ในประเทศนี้ ณ เวลานี้
และอย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้แต่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน คนอย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” ก็สามารถกำหนดไม่ให้มีไม่ให้เป็นก็ได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ก็เพราะ ทุกวันนี้ที่นายเศรษฐาผันตัวเองจากพ่อค้าด้านอสังหาริมทรัพย์ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทยได้ โดยไม่มี สส.เป็นฐานเสียงรองรับแม้แต่คนเดียว นั่นก็ด้วยทักษิณเป็นผู้กำหนด
ในหลายๆ เรื่องหลายประเด็นที่นายเศรษฐา ทวีสิน เปิดใจให้สัมภาษณ์สื่อระหว่างพักผ่อนช่วงวันหยุดยาวเนื่องในวันสงกรานต์ที่บ้านพักตากอากาศริมทะเลหัวหิน เมื่อวันที่ 15 เมษายน ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่รัฐมนตรี และ สส.ของพรรคเพื่อไทยแห่แหนไป “รดน้ำขอพร” จากนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ยิ่งทำให้เห็นความในใจของนายเศรษฐาที่เข้ามาสู่แวดวงการเมืองแบบ “หัวเดียวกระเทียมลีบ” และ “ขาลอย” ในพรรคเพื่อไทย และเป็นครั้งแรกที่นายเศรษฐาได้พูดออกมาอย่างหมดเปลือก
“ต้องปรับตัวมากจริงๆ จากการเป็นนักธุรกิจสู่วงการการเมือง การเป็นซีอีโอของบริษัท มีผู้ร่วมงาน คนรอบตัว ทั้งลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน สังคม เวลาบริหารจัดการต้องคำนึงถึง 4 เสาหลักนี้ เป็นผู้บริหารบริษัทก็ได้รับการซัพพอร์ตเต็มที่จากคณะกรรมการและผู้ถือหุ้น แต่มาอยู่ในบริบทของนักการเมืองและเป็นนายกรัฐมนตรีที่มี 141 เสียง เป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค และมีผู้ร่วมงานที่ต่างกัน ทั้งประชาชน สส. สว. สถาบันความมั่นคง เอ็นจีโอ นักข่าว หลายภาคส่วนต้องการการพูดคุยและการอธิบาย ดังนั้นขอใช้คำว่าหุ้นส่วน ในการช่วยเหลือประชาชน” นายเศรษฐา ทวีสิน เปิดใจ
และอีกหนึ่งปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างนายเศรษฐา ทวีสิน กับ สส. 141 คน ในพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะการเอื้อประโยชน์อันเกี่ยวเนื่องกับงบประมาณและโครงการของรัฐที่ยังจูนคลื่นกันไม่ติด ซึ่งนายเศรษฐาบอกว่า “ผมต้องหลังพิงประชาชน เพราะเป็นคนที่ส่งให้ผมมายืนอยู่ตรงนี้ และต้องผ่าน สส.ที่มีถึง 141 คน ยังไงก็ต้องโน้มน้าวเข้าหาตลอดเวลา และพยายามอธิบายให้เข้าใจว่าเรื่องคืออะไร ประเด็นคืออะไร เหตุผลที่ให้ได้และให้ไม่ได้ หรือทำไมต้องได้งบประมาณน้อยลงหรือเพิ่มขึ้น ซึ่งเรื่องของการพูดคุยเป็นเรื่องสำคัญไม่ได้น้อยใจ ไม่ได้โกรธ ไม่ได้งอน ยังต้องพยายามไปพบปะพูดคุย หาวิธีสื่อสารให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น”
แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับภาพรวม ที่นายเศรษฐา ทวีสิน เปิดใจกับสื่อว่าการทำงานในรอบ 7 เดือนที่ผ่านมา มีเรื่องที่ไม่ได้ดังใจอยู่มาก โดยบอกว่าเพราะหลายปัญหาของประชาชนยังไม่ได้รับการแก้ไข นั่นก็เป็นเรื่องจริง และถ้าจะว่าไปแล้วที่เป็นปัญหาก็เพราะนายเศรษฐายังไม่ได้ลงมือทำอะไรให้เป็นจริงเป็นจังสักเรื่องเดียว สิ่งที่เห็นก็คือได้แต่ลอยไปลอยมาเหมือนที่ถูกเปรียบเปรยว่าบินอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยแบบ “แมลงวัน” มีแต่การสร้างภาพเท่านั้น
อีกทั้งยังย้อนแย้งกับที่นายเศรษฐา ทวีสิน อ้างว่าผลงานการแก้ปัญหาของรัฐบาลในหลายๆ เรื่องดีขึ้น เช่นเรื่องราคาพืชผลทางการเกษตร ที่นายเศรษฐาบอกว่า แม้จะดีขึ้นแล้วแต่ยังสามารถดีกว่านี้ได้อีกได้นั้น ซึ่งเรื่องนี้ถ้ามองด้วยใจเป็นธรรมก็ล้วนมีผลต่อเนื่องมาจากรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ทำปูพื้นไว้ก่อนแล้วและเพิ่งจะเกิดผลเป็นรูปธรรมในรัฐบาลชุดนี้
เช่นเดียวกับเรื่องการท่องเที่ยวที่นายเศรษฐา ทวีสิน บอกว่า ข้อมูล ณ วันที่ 12 เมษายน 2567 ตัวเลขนักท่องเที่ยวสูงกว่า 140 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2562 ระหว่างเดือนมกราคม-เมษายน ซึ่งตัวเลขนี้ก็มีผลมาจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาวางรากฐานเอาไว้เมื่อมีการเปิดประเทศหลังผ่านวิกฤตโควิด-19โดยเริ่มตั้งแต่โครงการ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” ที่จังหวัดภูเก็ตเป็นแห่งแรกเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 อันส่งผลทำให้ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวขึ้นมาเรื่อยๆ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวบ้านเราเพิ่มมากขึ้นอย่างไม่ขาดสาย
ทั้งหมดที่เศรษฐา ทวีสิน เปิดใจกับสื่อเหมือนนายกรัฐมนตรีรัฐบาลพลัดถิ่นนั่งแถลงข่าวในครั้งนี้นั้น ที่ฟังแล้วต้องร้อง “เอ๊ะ” ก็คือคำพูดที่นายเศรษฐารับประกันตนเองว่า “มั่นใจได้ว่าเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนไม่มีแน่นอน...เรื่องของชีวิตส่วนตัวของผมลงตัวแล้ว มีรายได้ในอดีตที่ดีพอสมควร มีทรัพย์สินที่ทำให้อยู่ได้อย่างสบายๆ เรื่องการที่จะมาเอาผลประโยชน์ทางการเมืองไม่มี คนในครอบครัวมีความสุข มีหน้าที่การงานที่เหมาะสมแล้ว...ผมย้ำในวันแถลงนโยบายไปแล้วว่า 3 ปีครึ่งจากนี้ไป ผมมีเรื่องเดียวคือยกระดับชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น”
เป็นคำพูดคลับคล้ายกับที่ “ทักษิณ ชินวัตร” เคยพูดเมื่อครั้งที่เป็นนายกรัฐมนตรีรัฐบาลพรรคไทยรักไทยในอดีตว่า “ผมเข้ามาเล่นการเมืองเพราะอยากทำประโยชน์ให้แก่ชาติบ้านเมือง ผมรวยแล้วผมไม่โกง”
รวยแล้วไม่โกง แต่ “โกงโคตร-โคตรโกง” !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี