ตอนฟังนโยบายหาเสียงจากพรรคการเมืองต่างๆ แล้ว สารเซโรโทนินและเอ็นโดรฟินในร่างกายที่เป็นฮอร์โมนแห่งความสุขถูกกระตุ้นออกมาทั้งวัน
เห็นต้นไม้ดอกไม้ เห็นหมาเห็นแมว เห็นจิ้งจกตุ๊กแกในบ้านแล้ว ส่งยิ้มให้หมด บางทีก็นั่งเหม่อลอย ฝันว่าหลังเลือกตั้งชีวิตจะดีขึ้น อะไรๆ ก็ดีไปหมด
อย่างไรก็ตาม ขึ้นชื่อว่านักการเมือง เมื่อพูดอะไรออกมา สำหรับประชาชนต้องฟังหูไว้หู และในอดีตที่ผ่านๆ มา ดูเหมือนมีแต่นักการเมืองเท่านั้นพอเลือกตั้งเสร็จมีชีวิตที่ดีขึ้นทุกราย ยิ่งได้เป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลก็ยิ่งรวยเร็ว
เรื่องแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทสัญญาว่าจะให้เป็นการ“ตกเขียว”ล่วงหน้าของพรรคเพื่อไทย แบบซื้อก่อนจ่ายทีหลัง มิหนำซ้ำยังไม่ใช้เงินของตนเอง แต่เป็นเงินงบประมาณแผ่นดินของคนทั้งประเทศที่จะปล้นออกมาจ่าย ซึ่งไม่ต่างจากสำนวนที่ว่า“อัฐยายซื้อขนมยาย” เอาเงินของชาวบ้านมาแจกชาวบ้าน โดยที่พรรคเพื่อไทยไม่ได้ควักเงินของตัวเองออกมาเลยแม้แต่บาทเดียว
โครงการนี้ถ้าดันทุรัง หรือปล้นเงิน ธ.ก.ส. พร้อมกับยักย้ายเงินงบประมาณแผ่นดินปี 2567 ปี 2568 ได้ครบจำนวน 5 แสนล้านบาท เพื่อนำมาแจกแบบทิ้งโก๋กระจาดงานโรงเจตามที่ได้สัญญาไว้ พรรคเพื่อไทยก็จะได้รับประโยชน์ทันที“สามเด้ง”
เด้งแรก ใช้อ้างโฆษณาหาเสียงสำหรับการเลือกตั้งสมัยหน้า เช่น ที่อ้างนโยบายประชานิยมของรัฐบาลพรรคไทยรักไทยในอดีตสมัย“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นนายกรัฐมนตรี โดยอ้างซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง อาทิ โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ที่ต่อยอดมาเป็น “30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว” ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยในเวลานี้
และต้องหมายเหตุไว้ด้วยว่า “โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค”นั้น รัฐบาลพรรคไทยรักไทยมาช้อนหุ้นตีกิน จากที่ภาคประชาชนได้เคลื่อนไหวเรื่อง“หลักประกันสุขภาพ”เป็นวาระแห่งชาติอยู่ก่อนแล้ว และพรรคไทยรักไทยได้เข้ามาเก็บเกี่ยวนำไปโฆษณาหาเสียงเป็นนโยบายพรรค ซึ่งก็เป็นหนึ่งในนโยบายประชานิยมที่พรรคไทยรักไทย“ขาย”ได้ เพราะมีคนเชื่อ
แต่ในทางปฏิบัติมีปัญหาเกิดขึ้นมากมายกับโรงพยาบาลขนาดเล็กและขนาดกลางของรัฐ โดยเฉพาะในเรื่องงบประมาณ และเรื่องความไม่เทียมเท่าของผู้ป่วยเรื่องการใช้ “บัตรทอง” มีการแบ่งคนไข้เป็นสองประเภท คือคนไข้ที่ใช้บัตรทอง กับไม่ใช้บัตรทอง ส่งผลให้มีปัญหาเรื่องโอกาสในการเข้าถึงยา ทั้งในเรื่องของราคายาและประสิทธิภาพของตัวยาในการรักษาโรค
นอกจากนั้น โรงพยาบาลของรัฐก็มีปัญหาเรื่องแพทย์และพยาบาลที่มีอัตราไม่เพียงพอ เพราะในช่วงเวลาที่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยดำเนิน“โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค”นั้น เกิดปัญหา “สมองไหล” แพทย์และบุคลากรทางแพทย์ที่รับราชการในภาครัฐ ไหลออกไปทำงานในภาคเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นจำนวนมาก เมื่อปริมาณแพทย์และพยาบาลไม่พอ คนไข้ก็หันไปพึ่งโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งแม้ค่าใช้จ่ายจะสูง แต่ก็สะดวกรวดเร็ว พร้อมทั้งมั่นใจว่ารักษาอาการป่วยได้ดีกว่าโรงพยาบาลของรัฐ
ปัญหาของ“โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค”ถูกซุกเอาไว้ใต้พรม เพิ่งมาจบในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพรรคเพื่อไทยฉวยคว้ามาต่อยอดเป็น “30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว” แล้วก็มั่วนิ่มราวกับว่าไม่เคยมีปัญหามาก่อน
ดังที่“อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร”หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ ได้ป่าวประกาศเมื่อวันที่ 30 มีนาคมเดือนที่แล้ว ในพิธีเปิดงาน“ยกระดับ 30 บาท รักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว-เฟส 2” ที่จังหวัดนครราชสีมา ว่า
“โครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค หรือโครงการบัตรทอง ได้ถูกพัฒนาสานต่อมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่รัฐบาลไทยรักไทยจนถึงรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยปัจจุบัน ตลอด 23 ปีที่ผ่านมา ได้เกิดการปฏิรูประบบสาธารณสุขให้ประชาชน มีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ครอบคลุม ช่วยลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชนอย่างต่อเนื่อง และวันนี้ ถือเป็นการพลิกโฉมระบบสาธารณสุขไทยอีกครั้ง ด้วยนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว”
คุณหนูอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร ตีกินแบบหน้าตาเฉย ชนิดไม่ผิดฝาผิดตัวตามที่นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร รับประกันว่าบุตรสาวของตนมี“ดีเอ็นเอ”ของพ่อร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม ซึ่งในช่วงหาเสียง“อุ๊งอิ๊ง”ก็เคยโมเมมั่วนิ่มเรื่องโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่“เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ” มาแล้ว ว่าถ้าพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลจะเข้าไปดำเนินการโครงการนี้ ทั้งที่ข้อเท็จจริง รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ลงนามอนุมัติโครงการมาตั้งแต่ปี 2561 และอยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น 7.2 หมื่นล้านบาท ระยะทาง 323.10 กิโลเมตร
เด้งที่สอง เงิน 5 แสนล้านบาทที่จะนำมาแจกให้แก่ประชาชน 50 ล้านคนที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป โดยไม่จำแนกว่าเป็นคนจนหรือคนรวย เพียงแค่กำหนดคุณสมบัติต้องมีรายได้ไม่เกิน 840,000 บาท/ปี เงินฝากมีไม่เกิน 500,000 บาท ส่วนร้านค้าต้องเป็นร้านค้าขนาดเล็กที่อยู่ในระบบภาษีนั้น เงินจำนวนนี้ก็ไม่ใช่เงินของพรรคเพื่อไทย แต่เป็นเงินจากภาษีอากรของประชาชน
เด้งที่สาม เป็นเรื่องที่ป.ป.ช.เองก็ยังเป็นห่วงว่าจะเกิดการทุจริตอย่างมโหฬาร ถึงกับเสนอแนะว่า รัฐบาลจะต้องมีมาตรการป้องกันการทุจริต เพื่อให้โครงการ“แจกเงิน 1 หมื่นบาทผ่านดิจิทัล วอลเล็ต”มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน และประเทศชาติอย่างแท้จริง เด้งนี้แหละที่น่าเป็นห่วง เพราะเงิน 5 แสนล้านบาท ที่แลกกันไปเปลี่ยนกันมาจะไปเข้ากระเป๋าใครบ้าง คงยากที่จะตรวจสอบ หรือหาใบเสร็จมาดำเนินคดีกับคนทุจริตได้โดยง่าย
ขอเสนอว่า ถ้ารัฐบาลยกเลิกโครงการนี้ได้ก็รีบประกาศยกเลิกเถิดครับ เงินที่คิดจะโกงแบบบูรณาการกันนั้น ถึงโกงเอาไปได้ก็ได้ไม่คุ้มเสีย ซึ่งนายกฯเศรษฐา ทวีสิน ควรคิดให้หนัก เพราะถ้าจับพลัดจับผลูผีซ้ำกรรมซัดมีอันต้องประสบชะตากรรมเดียวกันกับ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” และ“ทักษิณ ชินวัตร” โอกาสจะใช้โมเดล “นักโทษเทวดาตัวใหม่” มิใช่เรื่องกล้วยๆ
อย่าลืมว่า-ตนนั้นคือ “เศรษฐา ทวีสิน” ไม่ใช่“เศรษฐา ชินวัตร” !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี