“อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แสดงวิสัยทัศน์พาดพิงธนาคารแห่งประเทศไทยในงานตีปี๊บ “10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10” ของพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้กลายเป็น “ระเบิดพลีชีพ” ที่ทำลายล้างตัวเธอเองไปโดยปริยาย
เพราะพลันที่สิ้นถ้อยความ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในทางลบจากทุกทิศทางก็ประดังเหมือน “พายุระเบิด” พุ่งเข้าใส่บุตรสาวซึ่งมีดีเอ็นเอเดียวกับนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร เจ้าของคอกเพื่อไทยตัวจริงผู้เป็นบิดาทันทีทันใด
อย่างน้อยวุฒิปัญญา ตลอดจนปูมหลังด้านการศึกษาและประสบการณ์ในการทำงานของ “แพทองธาร ชินวัตร” ซึ่งถ้าไม่ใช่เพราะมีสายเลือด “ตระกูลชินวัตร” เป็นคุณสมบัติสำคัญ ก็อย่าได้คิดหวังว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่ได้โดยง่ายเช่นทุกวันนี้ ได้แสดงวิสัยทัศน์อันเกินกว่าสติปัญญาในสมองของเธอมีอยู่ จากการกล่าวหาด้วยการอ่านและท่องจำข้อความที่มีคนเขียนบทให้ ว่า “ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ”
“อุ๊งอิ๊ง” กล่าวบนเวทีในวันนั้นว่า “เพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองที่มีประสบการณ์ในการบริหารประเทศมากที่สุด หากไม่เป็นแกนนำรัฐบาลผสม คงยากที่ปัญหาหมักหมมจะแก้ไขได้ กฎหมายพยายามจะให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นอิสระจากรัฐบาล เรื่องนี้เป็นปัญหาและอุปสรรคในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เพราะนโยบายการคลังถูกใช้งานข้างเดียวอย่างหนัก จนทำให้หนี้สูงขึ้นทุกปี จากการตั้งงบประมาณขาดดุล”
และอุ๊งอิ๊งยังเจื้อยแจ้วแบบท่องจำต่อว่า “ถ้านโยบายการเงินที่บริหารโดยธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ยอมเข้าใจและร่วมมือ ประเทศจะไม่มีทางลดเพดานหนี้ได้เลย 10 เดือนที่ผ่านมา เราใช้ความพยายามในการวิเคราะห์ เข้าใจ เพื่อแก้ปัญหาที่ยาก และซับซ้อน และก้าวเดินต่อในทุกมิติ เพราะเราเสียเวลาและโอกาสไปถึงเกือบ 2 ทศวรรษจากการรัฐประหาร เรามั่นใจว่าเราทำได้ และจะทำให้ได้คะแนนเต็ม 10 ก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้า”
วิสัยทัศน์ดังกล่าวของ “อุ๊งอิ๊ง” คือความคิดของ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่พูดผ่านออกมาทางปากลูกสาวของตนและก็เป็นเรื่องเดียวกับที่นายเศรษฐา ทวีสิน เปิดศึก“วิวาทะ” กับ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการแบงก์ชาติมาโดยตลอด อันสืบเนื่องมาจากกรณีที่แบงก์ชาติไม่ยอมลดดอกเบี้ยตามความต้องการของรัฐบาล โดยยังคง “อัตราดอกเบี้ยนโยบาย” ไว้ที่ร้อยละ 2.50 ต่อปีตามเดิม
ที่มาที่ไปของเรื่องการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายนี้ ฝ่ายรัฐบาลเห็นว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2567 ชะลอตัวลงทั้งจากการส่งออกและการผลิต ด้วยเหตุนี้การลดอัตราดอกเบี้ยจึงมีความจำเป็น เพื่อที่จะทำให้เกิดการลงทุนจากการจับจ่ายใช้สอย ขณะที่แบงก์ชาติเห็นว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวได้ร้อยละ 4.4 และมีสัญญาณบ่งบอกว่าเศรษฐกิจกำลังอยู่ในภาวะน่าพอใจ จึงไม่จำเป็นต้องกระตุ้นด้วยการเพิ่มหรือลดอัตราดอกเบี้ย
อันที่จริงแล้ว ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างรัฐบาลกับแบงก์ชาตินั้น สาเหตุสำคัญมีเรื่องเดียวเท่านั้น คือ “โครงการแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต 1 หมื่นบาท” ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมผ่านโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ยังไม่มีความจำเป็นใดๆ เนื่องจากภาพรวมการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้สูง ประกอบกับตลาดแรงงานก็ฟื้นตัวต่อเนื่อง ดังนั้นผลของโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ต่อเศรษฐกิจอาจจะไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย หรือถ้าเป็นภาษาชาวบ้านจะเรียกว่า“ได้ไม่คุ้มเสีย” ก็ไม่ผิดนัก
แต่ฝ่ายรัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทยซึ่งชูนโยบาย “โครงการดิจิทัล วอลเล็ต” เป็นนโยบายประชานิยมโดยสัญญาว่าจะให้ด้วยการ “ตกเขียว” ไว้ล่วงหน้าตอนหาเสียงเลือกตั้ง กลับเห็นตรงข้าม และดันทุรังที่จะแจกเงินดิจิทัลให้ได้ จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่เลิกล้มแม้จะมีเสียงคัดค้านอย่างกว้างขวาง และหมิ่นเหม่ต่อการกระทำที่ผิดกฎหมายจากการที่จะต้องไปปล้นเงินจำนวน 5 แสนล้านบาทของ ธ.ก.ส. พร้อมกับการยักย้าย-เบียดบังงบประมาณรายจ่ายของแผ่นดินปี 2567 และปี 2568 มาแจกแบบล้างผลาญ อันส่อสัญญาณที่จะเกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นตามมา
เพราะฉะนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงเป็น“ก้างขวางคอ” ที่ทำให้พรรคเพื่อไทยมุ่งทำลายล้าง ด้วยการ“เซาะกร่อนบ่อนทำลาย” ทุกวิถีทางและทุกเวลานาที และหากว่าในวันนี้ถ้าปลด ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิออกจากตำแหน่งผู้ว่าการแบงก์ชาติได้ง่ายๆ เหมือนปลด “สุนัขในคอก” ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี รัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทยก็คงทำไปแล้ว
ประเทศไทยนับว่ายังโชคดีที่มี ดร.เศรษฐพุฒิสุทธิวาทนฤพุฒิ เป็นผู้ว่าการแบงก์ชาติ ในยามที่คนชั่วส่วนใหญ่ขึ้นมามีอำนาจในแผ่นดิน โดยไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตามรัฐบาล จึงสามารถฝากความไว้วางใจที่จะคอยช่วยคุ้มภัยจากมหาโจรที่คิดจะปล้นทรัพย์สมบัติของชาติบ้านเมืองได้อีกทางหนึ่ง
นั่นก็เพราะ ภาระหน้าที่ของธนาคารกลางทั่วโลกตามหลักการที่สำคัญ ไม่เพียงเฉพาะประเทศไทยเท่านั้นคือ การกำกับดูแลเรื่องการเงินของชาติ ทั้งออกกฎเกณฑ์และควบคุมสถาบันการเงิน ตลอดจนควบคุมเสถียรภาพของเศรษฐกิจ และการรักษามูลค่าของค่าเงินผ่านการควบคุมเงินเฟ้อ ดังนั้นด้วยหน้าที่ดังกล่าวแบงก์ชาติทั่วโลกจึงต้องดำรงความเป็น “อิสระ” เพื่อป้องกันไม่ให้รัฐบาลหรือผู้มีอำนาจทางการเมืองเข้าแทรกแซงได้
นักการเมืองหรือรัฐบาลมาแล้วก็จากไป แต่ถ้าจากไปมือเปล่าก็ไม่มีใครว่าอะไร หากแต่จากไปพร้อมกับมีคดีทุจริตโกงกินติดตัว และทิ้งความวิบัติฉิบหายไว้ให้แก่บ้านเมืองนั้น อันตรายอย่างยิ่ง ซึ่งก็มีปรากฏให้เห็นเป็นที่ประจักษ์มาแล้ว อย่างน้อยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มี “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เป็นหนึ่งตัวอย่างของรัฐบาลที่ว่านั้น
หรือแม้แต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยในยุคที่ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดของทักษิณผู้เป็นพี่ชาย ที่รัฐต้องขาดทุนเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวเป็นเงินมหาศาลเกือบ 1 ล้านล้านบาท-นี้ก็เป็นตัวอย่างถึงความวิบัติฉิบหายที่นักการเมืองเป็นผู้ก่อไว้
ขอยกคำพูดของ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ที่กล่าวในพิธีรับมอบทองคำแท่งเข้าคลังแผ่นดิน เมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา ณ สวนแสงธรรม พุทธมณฑลสาย 3 กรุงเทพฯ มาตอกย้ำให้เห็นถึงความสำคัญที่ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องเป็นอิสระปลอดจากการแทรกแซงของฝ่ายการเมือง อันเป็นอมตะวาจาดังนี้
“รัฐบาลมาแล้วไป ผู้ว่าฯก็มาแล้วไป แต่สถาบัน-องค์กรธนาคารแห่งประเทศไทยต้องอยู่ และต้องอยู่อย่างเข้มแข็ง” !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี