รัฐมนตรีของประเทศไทยในยุคนี้ หาง่ายยิ่งกว่าสินค้าบางชนิดในตลาด ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไม่ทันข้ามคืน ก็ได้รัฐมนตรีคนใหม่แล้ว คือนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์
คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของรัฐมนตรีในรัฐบาลนี้ที่เป็นโควตาของพรรคเพื่อไทย ก็คือ ต้องเคยมีความสัมพันธ์หรือมีความสัมพันธ์แนบแน่นอย่างใกล้ชิดกับตระกูลชินวัตร ประการถัดมาจะต้องพร้อมรับใช้อย่างไม่มีเงื่อนไข ซึ่งด่านแรกนั้นถือว่านายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ ผ่านสะดวกโยธิน เพราะมีสายสัมพันธ์กับตระกูลชินวัตร มายาวนาน อย่างน้อยก็ตั้งแต่สมัย“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นรัฐมนตรีว่ากระทรวงการต่างประเทศในปี 2537 สมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ เป็นอดีตข้าราชประจำกระทรวงการต่างประเทศ เคยเป็นเอกอัครราชทูตหลายประเทศ ซึ่งก่อนเกษียณราชการเป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงออตตาวา ประเทศแคนาดา นอกจากนี้ นายมาริษ ยังเคยทำงานทั้งกรมองค์การระหว่างประเทศ กรมสารนิเทศ กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และในสมัยที่“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ยังถูกเรียกตัวไปช่วยงานที่ทำเนียบรัฐบาลด้วย
ไม่เพียงแต่เท่านั้น สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ ก็คุ้นเคย โดยได้รับแต่งตั้งให้เป็นเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐวานูอาตู อันเป็นประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นฐานของ“กลุ่มธุรกิจจีนสีเทา” หรือแม้กระทั่งปัจจุบันก่อนหน้าที่จะถูกเลือกเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแทน ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร นายมาริษก็ทำงานใกล้ชิดกับนายเศรษฐา ทวีสิน ชนิดที่เรียกได้ว่าติดตามขบวน“เวิลด์ทัวร์”ของนายเศรษฐาไปปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศด้วยแทบทุกครั้ง
อย่างไรก็ตาม การลาออกของ ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร จากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ข่าวบางกระแสที่น่าเชื่อถือ ระบุว่า หัวหน้าคอกพรรคเพื่อไทยผู้มีอำนาจตัวจริง สั่งให้เขาทำในเรื่องที่หมิ่นเหม่ต่อการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย แต่ ดร.ปานปรีย์ปฏิเสธที่จะก้มหัวยอมรับใช้
ข่าวว่า ภารกิจที่ว่านั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับ“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”นักโทษหนีคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวที่มีโทษจำคุกมัดคออยู่ 5 ปีในเวลานี้ และกำลังหาทางจะกลับประเทศไทยโดยไม่ต้องติดคุกโมเดลเดียวกับ“ทักษิณ ชินวัตร ” โดยจะใช้สถานทูตไทยในต่างประเทศให้“ยิ่งลักษณ์”เข้ารายงานตัวตามขั้นตอนของกฎหมาย และหลังจากเดินเรื่องทำเอกสารต่างๆ เรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็จะเดินทางกลับประเทศไทย คาดว่าอาจจะเป็นหลังเดือนสิงหาคมหลังจากทักษิณพ้นโทษ
ทุกวันนี้“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ถือสัญญาชาติเซอร์เบีย โดยก่อนหน้านั้นหลังจากหนีออกจากประเทศไทยทางช่องทางธรรมชาติเข้าไปในเขมรเมื่อเดือนสิงหาคม 2560 ยิ่งลักษณ์ได้ถูกเพิกถอนพาสปอร์ตไทยตามไล่หลัง จึงต้องเปลี่ยนสัญชาติไทยเป็นสัญชาติกัมพูชา ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการถือพาสปอร์ตในฐานะพลเมืองกัมพูชา ก่อนจะเดินทางต่อไปอยู่ดูไบกับนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพี่ชายที่ก็เป็นนักโทษหนีคดีทุจริตและได้เปลี่ยนสัญชาติเป็นพลเมืองมอนเตเนโกร ณ เวลานั้น
ต่อมามีข่าวว่าประเทศกัมพูชาได้ถอนพาสปอร์ต อันเนื่องมาจากข่าวครึกโครมกรณี“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานบริษัทบริหารท่าเรือในซัวเถา ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ และถูกเปิดเผยว่ายิ่งลักษณ์เป็นประธานบริษัทนั้นได้ก็เพราะถือสัญชาติกัมพูชา ด้วยเหตุดังนั้นจึงทำให้เขมรเดือดร้อนไปด้วย เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดผลกระทบความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกัมพูชากับรัฐบาลไทยภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่แอบให้สัญชาติกัมพูชากับนักโทษหนีคดี ในที่สุดรัฐบาลกัมพูชาก็ได้ตัดสินใจถอนสัญชาติและถอนพาสปอร์ตของยิ่งลักษณ์
ในปี 2562 สำนักข่าวตันจุงของประเทศเซอร์เบีย ได้รายงานว่ารัฐบาลเซอร์เบียได้อนุมติให้สัญชาติเซอร์เบียแก่“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นั่นก็เพราะการตัดสินใจของพี่ชาย คือ“ทักษิณ ชินวัตร”ที่ถือสัญญชาติมอนเตเนโกรอยู่ก่อนแล้ว โดยที่ประเทศเซอร์เบียกับประเทศมอนเตเนโกรมีพรมแดนติดกัน ตั้งอยู่ในคาบสมุทรบอลข่าน ซึ่งทั้งสองประเทศนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของประเทศยูโกสลาเวีย เมื่อยูโกสลาเวียล่มสลาย ก็ได้รวมตัวเป็นประเทศเดียวกัน ก่อนจะมาแยกกันเป็นเอกเทศในปี 2549
ทำไมทั้งสองพี่น้องอดีตนายกรัฐมนตรีแห่งตระกูลชินวัตรผู้เป็นนักโทษหนีคดีทุจริตโกงกินบ้านเมือง ตัดสินใจถือสัญชาติมอนเตเนโกรและเชอร์เบีย ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ประการหนึ่ง“อำนาจเงิน”สามารถบันดาลได้ทุกอย่าง, ประการที่สอง การถือพาสปอร์ตของทั้งสองประเทศสามารถเดินทางไปได้ทั่วโลกโดยไม่ต้องขอวีซ่าอย่างน้อยเกือบ 100 ประเทศทั่วโลก
สำคัญที่สุดก็คือ การเป็นพลเมืองโดยถือสัญชาติมอนเตเนโกร และเซอร์เบีย ก็เพราะทั้งสองประเทศนี้ ไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับประเทศไทย
ดั้นนั้น เวลาที่สองพี่น้องนักโทษหนีคดีทุจริตนั่งเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว บินร่อนไปร่อนมาทั้งโลก บางครั้งก็ฉวัดเฉวียนมาที่กัมพูชา มาที่สิงคโปร์ ในช่วงก่อนหน้าที่“ทักษิณ ชินวัตร”จะกลับเข้ามาในประเทศไทยเมื่อวันที่ 22 สิงหาคมปีที่แล้ว เราจึงเห็นทางการไทยโดยเฉพาะตำรวจไทยไม่ต่างจาก“สุนัขแหงนหน้าเห่าเครื่องบิน” ด้วยเหตุที่ไม่สามารถทำอะไรได้กับพี่น้องคู่นี้
รัฐบาล“เศรษฐา 1”เข้ามาบริหารประเทศได้ 7 เดือนกว่า สามารถปฏิบัติภารกิจลุล่วง โดยที่นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ไม่เคยติดคุกแม้แต่วันเดียวพร้อมทั้งได้รับการพักโทษ และกำลังจะพ้นโทษเพราะติด“คุกทิพย์”ครบหนึ่งปีในวันที่ 21 สิงหาคมในอีกสี่เดือนข้างหน้า
ภารกิจหลักนับจากนี้ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติของรัฐบาล“เศรษฐา 1/1” หรือถ้าจะเรียกให้ถูกคือ รัฐบาล“เศรษฐา 1/1.01” เพราะต้องมีการทูลเกล้าฯเสนอแต่งตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศถึงสองครั้ง นั่นก็คือ พา“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”กลับมาประเทศไทยโดยไม่ต้องติดคุก
ปฏิบัติการ“มิชชั่นอิมพอสซิเบิ้ล”นี้ ซึ่งถือเป็นด่านที่สองที่จะต้องพร้อมทอดตัวรับใช้ตระกูลชินวัตรอย่างไม่มีเงื่อนไข นับว่าเป็นเรื่องท้าทายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนใหม่นามว่า“มาริษ เสงี่ยมพงษ์”ยิ่งนัก !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี