เศรษฐา ทวีสิน รอดตายไปเปลาะหนึ่ง พอให้มีเวลาได้หายใจแม้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีมติเสียงข้างมากรับคำร้องของ 40 สว. กรณีตั้ง“ทนายถุงขนม-พิชิต ชื่นบาน”ซึ่งขาดคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ แต่ยังไม่สั่งให้นายเศรษฐาหยุดปฏิบิติหน้าที่โดยให้ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน
เป็นอันว่าอย่างน้อยมีเวลาอีกเกือบ 2 เดือนจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยหลังจากรับคำร้องไว้เมื่อวานนี้ (23 พฤษภาคม) ทั้งนี้ ยึดจากกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อปี 2565ที่ถูกฝ่ายค้านคือพรรคเพื่อไทยในขณะนั้นยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเกี่ยวกับวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ว่าจะสิ้นสุดลงวันไหน ซึ่งศาลใช้เวลาพิจารณา 37 วัน
หากนำกรณีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับของนายเศรษฐา ทวีสิน มาเปรียบเทียบกันแม้ว่าจะเป็นคนละประเด็นปัญหา แต่หลักฐานตลอดจนข้อกฎหมายที่จะต้องประกอบการพิจารณานั้นคล้ายกัน เพราะไม่ซับซ้อนอะไรมากนัก ดังนั้น เวลาในการพิจารณา“บวก-ลบ”ดูแล้วของนายเศรษฐาก็คงไม่น่าจะเกิน 40 วัน หรือเต็มที่ก็ 2 เดือน
ย้อนไปดูอีกนิด ในกรณีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องไว้พิจารณาในวันที่ 24 สิงหาคม 2565 ด้วยมติเอกฉันท์ 9 : 0 และให้พล.อ.ประยุทธ์ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน พร้อมทั้งมีมติ 5 : 4 ให้พล.อ.ประยุทธ์หยุดปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่รับคำร้องจนกว่าศาลฯจะมีคำวินิจฉัย(ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยวันที่ 30 กันยายน 2565)
แต่กรณีของนายเศรษฐา ทวีสิน ในครั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 6 : 3 ให้รับคำร้องไม่ได้มีมติเป็นเอกฉันท์เหมือน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย 3เสียงที่ไม่รับคำร้องนี้ ประกอบด้วย นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์, นายอุดม รัฐอมฤต และนายสุเมธรอยกุลเจริญ
สำหรับคำร้องที่ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นั้น กรณีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 5 : 4 ให้ หยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่กรณีของนายเศรษฐา ทวีสิน ศาลรัฐธรรมนูญก็มีมติ 5 : 4 เช่นเดียวกันแต่ไม่สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ โดยเสียงข้างน้อยที่เห็นควรให้นายเศรษฐาหยุดปฏิบัติหน้าที่ ประกอบด้วยนายปัญญา อุดชาชน, นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม, นายวิรุฬห์ แสงเทียน และนายจิรนิติ หะวานนท์
สิ่งที่จะต้องพิจารณาต่อไป ก็คือ ตามคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) 40 คนที่ให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาความเป็นรัฐมนตรีของ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้องที่ 1 และ พิชิตชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้องที่ 2 สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ นั้น ว่าผลสุดท้ายคำวินิจฉัยจะออกมาอย่างไร ซึ่ง ณ เวลานี้ เหลือเฉพาะนายเศรษฐาคนเดียวเท่านั้น
เพราะนายพิชิต ชื่นบาน ผู้ถูกร้องที่ 2 นั้น ศาลรัฐธรรมนูญตีตกคำร้องไปแล้วด้วยเหตุที่นายพิชิตใช้วิธี“ฆ่าตัดตอน” โดยชิงลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นการตัดแขนตัดขาของตนเองเพื่อจะรักษาส่วนหัว คือนายเศรษฐา ทวีสิน เอาไว้ถึงแม้จะยืนยันเสียงแข็งว่า“ไม่ผิด-ไม่ออก”มาตั้งแต่ต้น แต่เมื่อเจ้าของคอกผู้เป็นนายใหญ่สั่งมีหรือคนอย่างนายพิชิตที่มีอาการ“ผยองพองขน”เกี่ยวกับเรื่องนี้มาตลอดจะกล้าขัดขืน
เฉพาะนายพิชิต ชื่นบานนี้ ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจาณาเห็นว่า เมื่อความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องที่ 2 คือนายพิชิตสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (2)เนื่องจากนายพิชิตได้แจ้งต่อศาลฯว่า ได้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯแล้วตั้งแต่วันที่ 21 พฤษภาคม 2567 ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเสียงข้างมาก 8 :1 ไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย (ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย คือ นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม) ซึ่งเมื่อลาออกแล้วก็ถือว่าจบ
การ“ฆ่าตัดตอนตนเอง”ของนายพิชิต ชื่นบานด้วยการชิงลาออกก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีการประชุมพิจารณาคำร้องของ 40 สว.ว่าจะรับหรือไม่รับนั้นถือว่าก็มีส่วนช่วยให้นายเศรษฐา ทวีสิน ได้ยืดเวลาหายใจบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีต่อไปได้อีกชั่วอึดใจเท่านั้นเพราะสุดท้ายแล้ว นายเศรษฐาก็คงไม่รอด ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ไม่รอดเพราะความผิดของนายเศรษฐา ทวีสิน ได้กระทำสำเร็จไปแล้ว จากการแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ด้วยการนำชื่อนายพิชิตขึ้นทูลเกล้าฯ แต่งตั้งและเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง ซึ่งเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 160 (4) และ (5)ของรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดให้รัฐมนตรี (รวมถึงนายกรัฐมนตรี) ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
นายพิชิต ชื่นบาน เคยถูกศาลฎีกามีคำสั่งจำคุกเป็นเวลา 6 เดือนฐานละเมิดอำนาจศาลเกี่ยวกับ“คดีถุงขนม 2 ล้านบาท” และผลจากการกระทำผิดนี้นายพิชิตยังถูกสภาทนายความแห่งประเทศไทยมีมติลงโทษเมื่อปี 2552 ให้ลบชื่อออกจากทะเบียนทนายความ โดยถูกเพิกถอนใบอนุญาตว่าความเป็นเวลา 5 ปีฐานไม่เคารพยำเกรงอำนาจศาลฯ และดูหมิ่นศาลฯ ประพฤติตนอันเป็นการฝ่าฝืนต่อศีลธรรมอันดีทำให้เสื่อมเสียต่อศักดิ์ศรีและเกียรติคุณของทนายความ
นี่ย่อมแสดงว่า นายพิชิต ชื่นบาน เป็นบุคคลที่มีการกระทำอันไม่ซื่อสัตย์สุจริตและฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงจึงเป็นบุคคลที่ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามเป็นรัฐมนตรี ตามมาตรา 160 (4) และ (5) ดังที่ 40 สว.ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย
นายเศรษฐา ทวีสิน ต้องแก้ให้ได้ว่า ทำไมถึงตั้งนายพิชิต ชื่นบาน ที่ขาดคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรีแล้วนำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯแต่งตั้งและที่จะอ้างว่าได้หารือไปทางสำนักงานกฤษฎีกาแล้ว ก็ดูจะฟังไม่ขึ้น
เพราะที่หารือไปนั้นไม่ครบถ้วนกระบวนความตามข้อบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้จึงอาจทำให้ศาลฯมองได้ว่า นายเศรษฐา ทวีสิน มีพิรุธส่อเจตนาไม่ซื่อสัตย์ โดยเลือกหารือเฉพาะมาตรา 160 (7) แต่ไม่ได้หารือคุณสมบัติในมาตรา 160 (4) และ (5) ที่กำหนดให้ผู้ที่จะเป็นรัฐมนตรีต้องซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
เชื่อว่า ในที่สุดผลแห่งกรรมนั้น ก็จะย้อนกลับมาเข้าตัวนายเศรษฐา ทวีสิน คือขาดคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 160 (4) และ (5)-เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้ !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี