วันพฤหัสบดี ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2568
นายเศรษฐา ทวีสิน นั้น เป็นนายกรัฐมนตรีที่เก่งเรื่องเจื้อยแจ้วพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เหมือน“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีที่มีคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวติดตัว และหลบหนีโทษอยู่ในต่างประเทศเวลานี้
ที่กล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน เหมือน“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ก็เนื่องจาก บุคคลทั้งสองนี้ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้ได้ ก็เพราะนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้กำหนด“ให้เป็นให้มี”
ลำพังทั้งนายเศรษฐา ทวีสิน และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งอ่อนด้อยประสบการณ์ ขาดความรอบรู้เรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน ไม่รู้ปัญหาที่แท้จริงของประชาชนในชนบท จะก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้เอง เพียงแค่เดินหาเสียง 49 วันเช่นยิ่งลักษณ์ทำมา หรือเศรษฐาใช้เวลา 175 วันก็ตาม คงเป็นไปไม่ได้แน่นอน ไม่ว่าจะชาตินี้หรือชาติหน้า
อย่างทุกวันนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน ไปตรวจราชการในต่างจังหวัดก็แค่ไปในฐานะนายกรัฐมนตรี ไปแสดงท่าทางเงอะๆ งะๆ พยักหน้าชี้โน่นชี้นี่ เวลาที่ข้าราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบรีฟแผนงานและความคืบหน้าเกี่ยวกับโครงการต่างๆ เหมือนกับฟังแล้วผ่านเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
โดยอันที่จริง ใครก็รู้ว่า นายเศรษฐา ทวีสิน ออกตรวจราชการในต่างจังหวัด นอกจากจะเพื่อสร้างภาพให้เห็นว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย อีกประการหนึ่งก็เพื่อหาคะแนนนิยมสำหรับการเลือกตั้ง สส.ที่จะมีขึ้นสมัยหน้า ทั้งการขยายฐานและรักษาฐานทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยซึ่งถูกพรรคการเมืองคู่ต่อสู้แย่งชิงที่นั่ง สส.ไปจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม จากที่ได้ฟังนายเศรษฐา ทวีสิน กล่าวในรายการ “คุยกับเศรษฐา” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย เป็นครั้งที่สอง เมื่อวันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมาแล้ว ยิ่งเห็นได้ชัด ว่าอดีตพ่อค้าบ้านจัดสรรผู้นี้ พูดอะไรเจื้อยแจ้วไปเรื่อยเปื่อยจริงๆ
จะยกมาโดยสังเขป จากที่เห็นว่านายเศรษฐา ทวีสิน พูดเรื่องใหญ่ แต่สิ่งที่รัฐบาลทำกลับสวนทาง อันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับโครงการพระราชดำริซึ่งนายเศรษฐาได้อ้างถึง
เริ่มพูดก็แสดงให้เห็นว่าไม่รู้อะไรมาก่อนจริงๆ ว่า “ถ้าเราเป็นเอกชน หรือเป็นประชาชนธรรมดาคนหนึ่งที่ติดตามข่าว จะได้ทราบว่ามีโครงการอะไรบ้าง แต่พอลงพื้นที่จริงในฐานะนายกรัฐมนตรี ไปพร้อมคณะที่มีหลากหลายหน่วยงาน และหน่วยงานที่รับผิดชอบในโครงการพระราชดำรินั้นๆ ได้มีการนำเสนอในเชิงลึก ทำให้เราทราบถึงความยากลำบากที่เราจะต้องใส่ใจและใส่เงินลงไป และผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนในเชิงบวก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของปากท้อง การเปลี่ยนแปลงอาชีพ หรือการเปลี่ยนเรื่องที่ไม่ถูกกฎหมายให้เป็นเรื่องที่ถูกกฎหมายในแง่วิถีชีวิตในการทำกินให้เห็นชัดขึ้น”
หากนายเศรษฐา ทวีสิน ศึกษาให้ถ่องแท้ก็จะพบว่า นับตั้งแต่ปี 2495 เป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 เริ่มเสด็จฯ ทรงเยี่ยมเยียนราษฎรในทุกภูมิภาคของประเทศ ด้วยมีพระราชประสงค์ที่จะรับทราบถึงปัญหาความทุกข์ยากเดือดร้อนและความต้องการของราษฎร ที่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม
และจากการเสด็จฯทรงเยี่ยมราษฎร จึงทำให้เกิดโครงการพัฒนาด้านต่างๆ ขึ้นมากมาย มีทั้งโครงการเพื่อการศึกษาค้นคว้าทดลอง และโครงการที่มีลักษณะเป็นงานวิจัย กระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย
โดยเฉพาะโครงการพระราชดำริ ซึ่งเป็นโครงการที่ทรงวางแผนพัฒนา ตลอดจนทรงเสนอแนะให้รัฐบาลร่วมดำเนินการตามแนวพระราชดำริ โดยพระองค์เสด็จฯ ร่วมทรงงานกับหน่วยงานของรัฐบาล ที่มีทั้งฝ่ายพลเรือน, ตำรวจ และทหาร โครงการตามพระราชดำรินี้เรียกว่า“โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ” ปัจจุบันนี้มีทั้งหมด 4,810 โครงการ
อีกหนึ่งย่อหน้าข้างล่างนี้ ที่นายเศรษฐา ทวีสิน กล่าวถูกต้องและเป็นข้อเท็จจริงจากรายการ“คุยกับเศรษฐา” โดยนายเศรษฐาได้กล่าวว่า
“ตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พระองค์ท่านเสด็จฯ ลงพื้นที่เยอะมาก เช่นเดียวกันกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ทรงมีความเป็นห่วงพี่น้องประชาชนเป็นอย่างยิ่ง ในพื้นที่ที่อาจจะมีความลำบาก อยู่ไกลความเจริญในเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ ที่ไม่ใช่แค่เรื่องการทำมาหากินเพียงอย่างเดียว เป็นเรื่องของการประกอบอาชีพด้วย”
และอีกหนึ่งย่อหน้า—ที่นายเศรษฐา ทวีสิน กล่าวในรายการ“คุยกับเศรษฐา” เมื่อวันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมาว่า
“เนื่องในโอกาสที่เป็นปีมหามงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา 28 กรกฎาคม 2567 ถือเป็นโอกาสที่ดีที่ พวกเราในฐานะพสกนิกรชาวไทย ร่วมกันเฉลิมฉลองในปีมหามงคล โดยที่เราจะน้อมนำโครงการพระราชดำริต่างๆ ที่ทำเกี่ยวกับ‘ดิน-น้ำ-ป่า-คน’ มาบรรจุเข้าไปในโครงการที่เราได้ทำขึ้นมา โดยทางรัฐบาลจะร่วมกับภาคเอกชน องค์กรต่างๆ ซึ่งได้มีการพูดคุยกัน และคัดเลือกกว่า 600 โครงการ มาเป็น 10 โครงการหลัก ส่วนอีกกว่า 500 โครงการก็ทำอยู่ โดยมีโครงการหลัก 10 โครงการ ซึ่งทุกอย่างอยู่ร่วมกับป่า-น้ำ-คน”
ฟังแล้วก็ขออนุโมทนา-สาธุ ขอให้ทำจริงเถอะ อย่าดีแต่พูด เพราะที่รัฐบาลกำลังทำอยู่ในเวลานี้เกือบจะทุกเรื่อง เป็นเรื่องที่สวนทางกับโครงการพระราชดำริ ซึ่งหัวใจสำคัญอยู่ที่“ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง”
อันดับแรกยกเลิกโครงการ“ดิจิทัลลอลเล็ต” เพื่อนำเงินที่จะใช้สำหรับแจกในโครงการนี้จำนวน 4.5 แสนล้านบาทซึ่งทุกฝ่ายเห็นว่า“ได้ไม่คุ้มเสีย” ไปลงทุนในโครงการที่จะสร้างความเจริญแบบยั่งยืนให้แก่ประเทศชาติและประชาชนได้อย่างแท้จริงดีกว่า
ถือว่าเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่สำหรับประเทศชาติและประชาชนเนื่องในโอกาสเฉลิมฉลอง“ปีมหามงคล”ครั้งนี้ !
รุ่งเรือง ปรีชากุล

ปชป. ร่อนแถลงการณ์ ซัด พรรคส้ม ออกลูกงอแงหวังประโยชน์แก้ รธน. ยอมเอา ‘อธิปไตยชาติ’ มาเสี่ยง
ยุบสภา อนุทิน ยันแล้ว คืนอำนาจให้ประชาชน
คอนเฟิร์ม! นายกฯอนุทิน ยื่นยุบสภาแล้ว เผยต่อรอง ปชน. ชี้ สั่ง สว.ไม่ได้ ไม่โหวตตัดอำนาจ
สะพัด อนุทิน ยื่นยุบสภาคาไว้แล้ว ตั้งแต่เย็นวันนี้ ตัดหน้า ‘ปชน.’ ล่าชื่อซักฟอกรัฐบาล
สื่อนอกตีข่าว เหตุปะทะเดือดชายแดนไทย-กัมพูชา พลเรือน2ประเทศอพยพแล้วครึ่งล้านคน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี