วันเสาร์ ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
คนอย่างนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ไม่เคยส่องกระจกหรือชะโงกดูเงากะโหลกของตนเองในกะลาเลยแม้แต่น้อย..เป็นคนที่ไม่เคยสำนึกในความเลวที่ตนได้กระทำไว้..และมีนิสัยถาวรที่ชอบโยนความผิดให้แก่ผู้อื่น
นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นนักโทษคดีทุจริตโกงชาติโกงแผ่นดิน..ไม่กล้าไปพบพนักอัยการเจ้าของคดีในวันนัดเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคมปลายเดือนที่ผ่านมา..จึงอ้างว่า“ป่วยติดโควิด”..เพราะคงจะรู้ข่าวเป็นการล่วงหน้า ว่านายอำนาจเจตน์ เจริญรักษ์ อัยการสูงสุด จะมีความเห็นสั่งฟ้องคดีความผิดมาตรา 112 ของตน..และกลัวติดคุกหากศาลไม่ให้ประกันตัว เลยต้องแกล้ง“ป่วยการเมือง”
ตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคมจนกระทั่งถึงเมื่อวันเสาร์ที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา..“ทักษิณ ชินวัตร”กบดานเงียบในบ้านจันทร์ส่องหล้าเสมือนงูเงี้ยวเขี้ยวขอที่อาศัย“รู”เป็นที่หลบภัย..โดยเงียบหายไปจากข้ออ้างว่าต้องพักรักษาตัวเนื่องจากติดโควิด..นับรวมแล้วก็ 14 วัน หลังจากไปปรากฏตัวครั้งสุดท้ายที่จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2567 ในงานฌาปนกิจศพนายวิชัย ช่างเหล็ก หรือ“ลุงป็อก” อดีตคนขับรถคู่ใจที่ทักษิณแอบ“ซุกหุ้น”ไว้ในชื่อของบุคคลผู้นี้จนถูกจับได้กลายเป็น“คดีซุกหุ้น”กระฉ่อนเมือง
และเมื่อ“ทักษิณ ชินวัตร”โผล่หัวออกมาเมื่อวันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน..ก็ตกเป็นข่าวอย่างครึกโครม เนื้อหาจากคำสัมภาษณ์ของทักษิณ..กลายเป็นข่าวใหญ่พาดหัวตัวไม้ของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ รวมทั้งสื่อโทรทัศน์ และสื่อออนไลน์..โดยสื่อหยิบประเด็นที่ทักษิณแก้ต่างให้กับตนเองว่า—คดี 112 นั้นเป็น “ผลไม้พิษ”ของคณะรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557
นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเงียบหายไปด้วยข้ออ้างว่าป่วยติดโควิด..ซึ่งใครๆ ก็รู้ว่า“ป่วยการเมือง”เพราะกลัวติดคุกหากถูกพนักงานอัยการนำตัวไปฟ้องศาล..ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อในงานฉลองบวชนายสมิทธิพัฒน์ หลีนวรัตน์ ลูกชายนายกฤษฎา หลีนวรัตน์ (นายกเบี้ยว) นายกเทศมนตรีตำบลธัญบุรี ที่จังหวัดปทุมธานี เมื่อวันเสาร์ดังกล่าว..โดยผู้สื่อข่าวได้ถามถึงวันที่ 18 มิถุนายน ตามที่พนักงานอัยการนัด นำตัวส่งฟ้องในคดีความผิดมาตรา 112 นั้น..จะเดินทางไปด้วยตนเองหรือไม่-ทักษิณตอบว่า
“ก็แน่นอนสิ ส่วนจะต่อสู้คดีอย่างไรนั้น..ไม่เห็นมีอะไรเลยคดีนี้ และคดีนี้จะเป็นตัวอย่างให้คนเห็นว่า ตอนปฏิวัติยัดข้อหาอย่างไร คดีนี้เป็นคดีที่ไม่มีมูลเลยแม้แต่นิดเดียว..แต่พยายามที่จะนำไปตีความเพื่อให้มันมีมูล และเมื่อคนหนึ่งสั่งฟ้อง คนอื่นก็ไม่กล้าที่จะสั่งไม่ฟ้อง..เลยสั่งฟ้องซึ่งไม่ใช่หลักกฎหมาย..จริงๆ แล้วไม่มีอะไร”
ถ้าถอดคำพูดของนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ก็หมายความว่า..คดีมาตรา 112 ซึ่งเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2558 พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และผบ.ทบ.ในขณะนั้น..ในฐานะเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่กรมพระธรรมนูญ ไปแจ้งความดำเนินคดีกับทักษิณกรณีที่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ และพูดพาดพิงสถาบัน..เป็นคดีที่นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณถูก พล.อ.อุดมเดช ในฐานะ รัฐมนตรีช่วยฯกลาโหม ผบ.ทบ.และเลขาธิการ คสช. ใส่ร้ายป้ายสีและยัดเยียดข้อหาให้
นอกจากนั้น ถ้าหากพิจารณาตามคำสัมภาษณ์ของ“ทักษิณ ชินวัตร”ดังกล่าว..ก็หมายความได้อีกเช่นกันว่า ที่นายอำนาจ เจตน์เจริญรักษ์ อัยการสูงสุดคนปัจจุบันมีความเห็นสั่งฟ้อง เนื่องเพราะ ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร อดีตอัยการสูงสุด เคยมีความเห็นสั่งฟ้อง“ทักษิณ ชินวัตร”ในคดีนี้มาแล้วเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2559..จึงทำให้“คนหนึ่งสั่งฟ้อง..คนอื่นก็ไม่กล้าที่จะสั่งไม่ฟ้อง”ตามที่ทักษิณระบุ
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่..ถ้าเชื่อว่าถูก“ยัดข้อหา” และอัยการสูงสุดสั่งฟ้องก็เพราะไม่กล้าขัดกับคำสั่งเดิมที่เคยสั่งฟ้อง..นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร จะต้องแจ้งความดำเนินคดีเอาผิดกับ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รวมไปถึง คสช. และกรมพระธรรมนูญ..หรือแม้แต่อดีตอัยการสูงสุด และอัยการสูงสุดคนปัจจุบัน
ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญานั้น การแจ้งความเท็จต่อพนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาถึง 3 มาตราด้วยกัน..คือ มาตรา 172, มาตรา 173 และมาตรา 174
ถามว่าถ้าหาก “ทักษิณ ชินวัตร” เชื่อว่าถูก“ยัด”ข้อหาความผิดมาตรา 112..รวมทั้งมีการสั่งฟ้องตามกัน ทำไมจึงไม่ฟ้อง พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รวมไปถึง คสช. และกรมพระธรรมนูญ หรือแม้แต่อดีตอัยการสูงสุด และอัยการสูงสุดคนปัจจุบันตามประมวลกฎหมายอาญาดังที่กล่าวนั้น
ตอบแทนไว้ตรงนี้ก็ได้ว่า...คนอย่าง“ทักษิณ ชินวัตร”นั้น เป็นประเภท“ปากพาฉิบหาย”..พูดอะไรเรื่อยเปื่อย ชอบพูดพล่อยๆ..มีนิสัยหรือสันดานชอบกล่าวหาและใส่ร้ายผู้อื่น..เป็นคนที่ไม่เคยยอมรับความจริง..เป็นคนโกงชาติโกงแผ่นดินจนต้องกลายเป็นนักโทษในทุกวันนี้ แต่ก็ยังพยายามจะโกหกหลอกลวงให้ข้าทาสบริวารที่ยอมสยบอยู่ใต้เท้า เชื่อและพูดต่อๆ กันไปอีกว่า“นาย”ถูกกลั่นแกล้ง
“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นคนที่ปากบอกว่ารวยแล้วไม่โกง แต่ก็ได้ชื่อถึงกับมีคนพูดว่า“โกงโคตร-โคตรโกง”..เป็นคนบอกว่ายอมรับผิดจะกลับมาเลี้ยงหลานในบั้นปลายชีวิต แต่กลับเป็นว่ามาฟื้นคืนอำนาจเพื่อให้ได้มาดังเดิม ฯลฯ
ในวาระเดียวกันนี้ท่ามกลางมวลชนคนเสื้อแดงจังหวัดปทุมธานี, “ทักษิณ ชินวัตร” ยังให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า..“ผมว่าบ้านเมืองถึงเวลาสงบได้แล้ว อีกอย่างสื่อมวลชน เรื่องการเมืองก็ควรพยายามเบาๆ ลง..บ้านเมืองจะได้เดินหน้า เพราะทุกวันนี้ปัญหาบ้านเมืองยากกว่าตอนที่ผมเป็นนายกฯ..มันเละมานานแล้ว แม้ระบบราชการจะเปลี่ยนไปเยอะ..อยากให้ช่วยกันทุกฝ่ายยึดกติกาการเมืองอย่างสร้างสรรค์..เพราะทุกวันนี้ทุกคนพยายามคิดว่าถึงเวลาใครก็เป็นได้..มันต้องมีกติกา”
ความคิดเห็นดังกล่าวของ“ทักษิณ ชินวัตร”นั้น ล้วนเข้าตัวตนเองทั้งสิ้น...บ้านเมืองเละก็เพราะ“ทักษิณ ชินวัตร”กอบโกยโกงกิน ตั้งแต่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยจนมาถึงรัฐบาลหุ่นเชิด“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ผู้เป็นน้องสาว..และก็กำลังวนกลับมาที่รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ในปัจจุบันนี้ ซึ่งถ้าหากโครงการ“ดิจิทัล วอลเล็ต”สำเร็จเสร็จสิ้นวันใด..เชื่อว่าวันนั้นการทุจริตโกงกินอย่างมโหฬารก็จะเกิดตามมา
สำคัญที่สุด คนที่จะต้อง“ยึดกติกาการเมืองอย่างสร้างสรรค์” ก็คือ“ทักษิณ ชินวัตร”—ไม่ใช่ใครที่ไหนอื่น ?!
รุ่งเรือง ปรีชากุล

‘กรมการแพทย์’ชู 3 เทคโนโลยีการรักษาฟื้นฟู‘กะโหลกเทียม แขนขาเทียมและตาปลอม’
ช็อกกันทั้งซอย กล้องหน้ารถจับภาพ ชายป่วยซึมเศร้าโดดตึก3ชั้นสาหัส
วางขายแล้ว! จาก‘ข้าวดอ’สู่‘ข้าวเม่า’ ขนมโบราณ ฝีมือชาวนาอำนาจเจริญ
ประเทศแรกในเอเชีย! ‘ฟีฟ่า’เลือก‘ไทย’ เจ้าภาพฟุตบอลหญิง รายการ FIFA Series 2026tm
‘สืบยโสธร’รวบเครือข่ายโจรกรรมรถ จยย.ข้ามชาติ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี