การอภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 วงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท จบลงแล้ว ด้วยมติ รับหลักการ ด้วยคะแนน 311 ต่อ 175 เสียง
งดออกเสียง 2 เสียง และไม่ลงคะแนนเสียง 0 หลังจากใช้เวลาพิจารณาเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน

ที่ประชุมมีมติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบฯปี’68 จำนวน 72 คน แบ่งเป็นสัดส่วน ครม. จำนวน 18 คน และสัดส่วนพรรคการเมือง 54 คน คือ พรรคก้าวไกล 16 คน พรรคเพื่อไทย 15 คน พรรคภูมิใจไทย 8 คน พรรคพลังประชารัฐ 5 คน พรรครวมไทยสร้างชาติ 4 คน พรรคประชาธิปัตย์ 3 คน พรรคชาติไทยพัฒนา1 คน พรรคประชาชาติ 1 คน และพรรคไทยสร้างไทย1 คน โดยกำหนดระยะเวลาในการแปรญัตติจำนวน 30 วันซึ่งจะนัดประชุมกมธ.ฯนัดแรก วันที่ 24 มิ.ย.นี้ เวลา 10.00 น.

ในการอภิปรายรอบนี้ มีเรื่อง “เลอะเทอะ” เรื่องหนึ่งเกิดขึ้น ในสภาพที่ไม่ “ขบกัดสาระ” แล้วตอบโต้อย่างมีเนื้อหา ทว่า เลือกตอบโต้แบบ “ปลาตอดตีน” ในสปาเท้า แบบที่ใช้ปลาตอด

เรื่องมันเริ่มขึ้นเมื่อ...

1) นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน อภิปรายร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 โดยเรียกการตั้งงบประมาณปี 2558 นี้ว่า “เจ๊งไม่ว่าเสียหน้าไม่ได้”

โดยให้รายละเอียดว่า เพราะรัฐบาลชุดนี้ประสบปัญหาวิกฤตความชอบธรรมทางการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาล เมื่อเข้ามาบริหารประเทศจนถึงวันนี้ ยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ว่า จะสามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศและปากท้องของพี่น้องประชาชนได้ดีขึ้น พรรคแกนนำรัฐบาลจึงเหลือความหวังเดียว หากผลักดันดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท ซึ่งเป็นนโยบายเรือธงที่ได้หาเสียงสำเร็จ ความชอบธรรมทางการเมืองของรัฐบาลจะฟื้นคืนกลับมา

นายชัยธวัชยังบอกอีกว่า ในสภาวะข้าวยากหมากแพงเศรษฐกิจฝืดเคือง พี่น้องประชาชนจำนวนมากมีความหวังที่จะได้รับเงินมาประทังชีวิตจับจ่ายใช้สอย เราไม่ได้ต้องการรัฐบาลที่จะมุ่งแสวงหาความนิยมจากประชาชนอย่างมักง่ายหรือสายตาสั้น แต่เราต้องการรัฐบาลที่มีเจตจำนงผลักดันรัฐบาลที่ตอบโจทย์ประเทศมากที่สุดไม่ใช่การตอบโต้ทางการเมืองของพรรคแกนนำรัฐบาลหากสุดท้ายนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต ที่แกนนำรัฐบาลดันทุรังอยู่ไม่ได้ตอบโจทย์ของประเทศ การจัดสรรงบประมาณประจำปี’68 จะเป็นการจัดสรรงบประมาณที่ไม่ได้เอาโจทย์ของประเทศมาเป็นตัวตั้ง แต่เอาโจทย์ของพรรคแกนนำรัฐบาลเป็นตัว เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตทางการเมืองของตนเอง โดยเอาโอกาสและอนาคตของประเทศเป็นเดิมพัน

“เรายืนยันได้แล้วว่า โครงการดิจิทัล วอลเล็ต เกิดขึ้นมาอย่างฉาบฉวย หาเสียงเฉพาะหน้าโดยไม่ได้คิดให้เสร็จตั้งแต่ต้น นโยบายเรือธงนี้คิดไปทำไป กลับไปกลับมาจนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีความชัดเจน แต่พรรคแกนนำรัฐบาลก็โหมโฆษณาว่าโครงการดิจิทัล วอลเล็ต เป็นการกระจายเม็ดเงินลงสู่พื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อกระตุ้นการบริโภคแล้วจะทำให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจจนไปกระตุ้นการผลิตการลงทุน และการจ้างงาน แนวคิดการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบนี้อาจจะใช้ได้กับประเทศไทยเมื่อ 20 ปีก่อน แต่ไม่น่าจะสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นจริงใน พ.ศ.นี้

...การกระตุ้นการบริโภคโดยการอัดเงินไปในระยะสั้น อาจไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศได้อย่างง่าย เพราะเราจะเจอปัญหาช่องทางเงินไหลออกที่เปรียบเสมือนเป็นหลุมดำคอยดูดเม็ดเงินออกจากระบบ หลุมดำแรกคือ สินค้านำเข้าราคาถูกจากต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีนที่เกิดสภาวะสินค้าล้นตลาด หลุมดำที่สองคืออี-คอมเมิร์ซ ดังนั้นการอัดฉีดเงินเพื่อการบริโภคโดยไม่สร้างเงื่อนไข เงินที่อัดฉีดก็จะรั่วไหลไปสู่สินค้านำเข้า

...แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้แทบทุกแหล่งชี้ตรงกันว่าหากจะพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศใน พ.ศ.นี้ เราไม่สามารถอาศัยการกระตุ้นการบริโภคระยะสั้นที่ไม่ได้เกิดจากการจ้างงานไม่สามารถอาศัยเพียงแค่การหวังจะเพิ่มสภาพคล่องหรือสินเชื่อในระบบเศรษฐกิจ อย่างที่รัฐบาลพยายามกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทยลดดอกเบี้ย แต่ปัจจัยหลักจะต้องมีการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วนจริงจังโดยเฉพาะการเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตของประเทศไทยในอุตสาหกรรมใหม่ หมายความว่าการเดิมพันใช้งบประมาณมาก และการเอาอนาคตไปเสี่ยงอาจตอบโจทย์ทางการเมืองของรัฐบาลเท่านั้น

...รัฐบาลทราบดีว่า หากอยากพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยจริง ต้องเน้นเรื่องการลงทุน ไม่ใช่เน้นเรื่องการบริโภค หรือเพิ่มนักท่องเที่ยว เราควรจะได้เห็นการจัดสรรงบประมาณแบบใหม่ที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้อยู่ในรายละเอียด เช่น ควรจัดสรรงบประมาณเพื่อเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมอย่างจริงจัง เช่น อุตสาหกรรมอีวี เราแทบไม่เห็นการจัดสรรงบประมาณอย่างจริงจังในการสนับสนุนการยกระดับการผลิตและแรงงาน มีแต่หลักการคำพูดตัวเลขลอยๆ หรูๆ อย่าง IGNITE THAILAND หากเราเอาโจทย์ของประเทศเป็นตัวตั้งน่าจะได้เห็นการจัดสรรงบประมาณอย่างมียุทธศาสตร์จับต้องได้ เพื่อกระตุ้นการผลิตและสร้างเทคโนโลยีภายในประเทศ แต่งบประมาณในปี’68 ไม่ตอบโจทย์ ไทยต้องการโมเดลเศรษฐกิจ และการใช้งบประมาณแบบใหม่”

นายชัยธวัช ทิ้งท้ายว่า บทสรุป คือ การจัดสรรร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฉบับนี้สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาการไม่ชอบธรรมทางการเมืองของการจัดตั้งรัฐบาล โจทย์ของรัฐบาล
ในวันนี้ จึงเป็นคนละโจทย์กับของประเทศ การจัดสรรงบประมาณจึงเป็นการจัดงบประมาณที่มักง่ายที่สุด สุ่มเสี่ยงที่สุด เพราะรัฐบาลกำลังเอาทรัพยากรของประเทศไปแก้ปัญหาวิกฤตการเมืองของตนเอง โดยเอาโอกาสและอนาคตของคนไทยและประเทศมาวางเดิมพันยังไม่รับผิดชอบเป็นงบประมาณเหมือนเดิมเพิ่มเติม คือ ดิจิทัล วอลเล็ต วิสัยทัศน์IGNITE THAILAND กลายเป็น IGNORE THAILANDงบประมาณ “เจ๊งไม่ว่า แต่เสียหน้าไม่ได้”

2) นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นอภิปรายตอบโต้ว่า

“ขอให้สบายใจเรื่องการจัดสรรงบ ซึ่งอยู่ในเกณฑ์รักษาระเบียบวินัยการเงินการคลัง รัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณอย่างระมัดระวัง วลีที่ฝ่ายค้านบอกว่าจัดงบ’68 แบบเจ๊งไม่ว่า เสียหน้าไม่ได้ จึงไม่เป็นความจริง ประเทศไทยเจ๊งไม่ได้ รัฐบาลอาจจะยุบสภา นายกฯ อาจลาออก แต่ประเทศไทยเจ๊งไม่ได้ ซึ่งผมไปดูความหมายของคำว่า เจ๊งฉบับพจนานุกรมราชบัณฑิตยสภาสถาน หมายความว่า การเลิกกิจการแบบหมดทุน แต่ประเทศไทย ไม่มีหมดทุนประเทศไทยเจ๊ ไม่ได้ประเทศไทยก็ต้องเดินต่อ แม้จะยุบสภาแล้ว แต่นายกฯ ยังต้องอยู่รักษาการ

...นอกจากนี้ คำว่า เจ๊งยังหมายถึงสิ้นสุด หากนึกไม่ออกผมยกตัวอย่างง่ายๆ คือ ถ้าศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรค นี่แหละ คือ สิ้นสุดหรือเจ๊งของจริง ขอให้ทุกคนมาช่วยกัน สร้างประเทศไทยให้เป็นเสือตัวที่ 5 ของโลกอย่างสง่างาม” นายดนุพร กล่าว

3) น.ส.ภคมน หนุนอนันต์ สส.บัญชีรายชื่อ รองโฆษกพรรคก้าวไกล ได้โพสต์ข้อความผ่านแอปพลิเคชั่นเอ็กซ์ (X) ถึงการอภิปรายของ นายดนุพร ปุณณกันต์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ที่ระบุว่า ถ้าศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค เจ๊งของจริง ใจความว่า

“ไม่น่าเชื่อว่า โฆษกจากพรรคการเมือง ที่บอกว่า เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย และภาคภูมิใจว่าตัวเองเป็นนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยกลับพูดถึงการยุบพรรคการเมืองแบบเสียดสีสะใจ ขอโทษนะคะ นี่มันกาฝากประชาธิปไตยชัดๆ

...ดิฉันคิดว่าถ้าจะมีอะไรใกล้เคียงกับคำว่า “เจ๊ง” คือ การที่พรรคที่เคยชนะอันดับหนึ่งมาตลอด แพ้ให้พรรคที่อายุไม่ถึง 5 ปี ตั้งรัฐบาลก็ถูกประชาชนวิจารณ์ทั่วบ้าน
ทั่วเมือง สูญเสียศรัทธาไม่รู้จะเรียกกลับมาได้หรือเปล่า ทำงานมาเกือบครบปี ผลงานจับต้องได้ก็ยังไม่เห็น

...แบบนี้มากกว่า ใกล้เคียงกับคำว่า เจ๊ง”

4) นายดนุพร ปุณณกันต์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ที่รัฐสภาถึงปมร้อนเจ๊งกับเจ๊ง พาดพิงการยุบพรรค
ก้าวไกล ระหว่างอภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ว่า ไม่ได้ไปแช่งชักหักกระดูกใครให้โดนศาลรัฐธรรมนูญพิพากษา เพียงแต่เราเห็นว่าพรรคก้าวไกลใช้วาทกรรมคำว่า เจ๊งไม่ว่าเสียหน้าไม่ได้เพื่อมาด้อยค่านโยบายหลักของพรรคเพื่อไทยคือ ดิจิทัลวอลเล็ต คราวนี้เราในการอภิปรายในสภา เขาใช้วาทกรรมมาเราก็พยายามไปหาวาทกรรมเพื่อไปบอกความหมายของคำว่าเจ๊ง ไม่ใช่มีความหมายแบบนั้น ซึ่งมีความหมายหลายอย่าง ก็เลยอภิปรายไปทำนองนั้น เนื่องจากเขาตั้งโวหารมาด้อยค่าดิจิทัล วอลเล็ต เราก็เลยต้องตอบโดยใช้สิ่งที่เขาตั้งมาว่าคำว่าเจ๊งไปตอบเขาเท่านั้นเอง

ส่วนเรื่องที่ถูกโจมตีว่าเป็นกาฝากประชาธิปไตยนั้น นายดนุพร ถือว่าเป็นประชาธิปไตย ถ้าพรรคฝ่ายค้านมองว่าตนไปก้าวล่วงเขา 1 ที เขาก็ตอบมา 1 ที ก็ 1 ต่อ 1 เสมอกัน ประชาธิปไตยเป็นแบบนี้ทุกยุคทุกสมัย ไม่ได้คิดว่าเป็นอะไร เมื่อวานเจอพรรคก้าวไกลก็ยังแซวกันอยู่ ก็ได้แต่บอกว่าที่บ้านก็รถทัวร์ ลานยังเต็มอยู่หน้าบ้าน ยืนยันว่าไม่ติดใจ ไม่มีปัญหา หรือขุ่นเคือง ตนเป็น สส.มา 3 สมัยแล้ว เห็นมาตั้งแต่สมัยสภาเก่า เชื่อว่านี่เป็นความสวยงามของประชาธิปไตย

ขณะที่ประเด็นข้อวิจารณ์พรรคอันดับ 1 แต่มาแพ้พรรคก่อตั้งใหม่ นายดนุพร ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง ยอมรับว่าเราแพ้ เราก็พยายามจะปรับปรุงให้เรากลับมาทวงชัยชนะของเราในการเลือกตั้งสมัยหน้า และต้องขอขอบคุณพรรคก้าวไกลที่ชนะเลือกตั้งเรา ทำให้เราหันมามองตัวเอง พัฒนาพรรคมากยิ่งขึ้น อย่างน้อยเราก็มีการปรับเปลี่ยนผู้บริหารพรรคให้เป็นคนรุ่นเด็กมากขึ้น และให้ทันสมัยมากขึ้น เพราะถ้าเรายังชนะอยู่ เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยเองก็ยังจะเปลี่ยนอะไรยาก แต่เมื่อพรรคก้าวไกลชนะก็เป็นสิ่งที่เห็นกันอยู่ ปฏิเสธไม่ได้ และเราก็ยอมรับความพ่ายแพ้

5) งานนี้เรียกว่า ภคมน “ถอนหงอก” ดนุพร นักการเมืองรุ่นพี่ได้เต็มไม้เต็มมือ แต่สิ่งที่ประชาชนและสื่อควรแสดงออก คือ บอกกับดนุพรว่า

5.1 ดนุพรเป็นโฆษกกระจอก เก่า ตกรุ่น การอภิปรายครั้งนี้ เป็นการอภิปรายงบประมาณ เพื่อการจัดสรรงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่อภิปรายไม่ไว้วางใจ (ซึ่งเป็นการอภิปรายทางการเมือง) ที่จะมาใช้สำบัดสำนวนจิกกัดกัน

5.2 หากอายุสมองของดนุพร โตเท่าอายุกายและอายุในการเป็นนักการเมือง ดนุพรต้องตอบโต้ที่ “เนื้อหาสาระ” เพื่อ “หักล้าง” สิ่งที่นายชัยธวัชชี้แจงว่าส่วนไหนไม่จริง ส่วนไหนเป็นการกล่าวหาที่เลื่อนลอย จากนั้นให้พลิกสถานการณ์สู่การสร้างความเชื่อมั่น-มั่นใจของพี่น้องประชาชนที่ติดตามการอภิปรายครั้งนี้ ว่า รัฐบาลจัดสรรงบประมาณโดยคำนึงถึงโอกาสของประเทศและของประชาชน มิใช่โอกาสทางการเมืองของรัฐบาลดูได้จากอะไรบ้าง ก็หยิบยกขึ้นมา ถ้าเวลาในสภาไม่พอก็ให้มาแถลงข่าวต่อ หรือโพสต์โซเชียลมีเดีย นี่จึงจะเป็นโฆษกที่ทันสมัย ไม่ถูกมองว่า สอพลอ หาแสง สร้างผลงานให้เข้าตา ด้วยการเลือกวิธี “ด่ากลับ” จิกขี้เล็บและหนังตีนกิน เหมือนปลาตอดตีนในแอ่งน้ำ

5.3 คำอภิปรายของนายชัยธวัชที่เป็น “สารตั้งต้น”ของเรื่อง ก็ไม่เลอะเทอะ ไม่บ้าน้ำลาย แต่ให้ “ภาพรวม”และ “หลักการ” ที่ควรจะเป็น ของการกระจายงบประมาณและวางยุทธศาสตร์ในการใช้งบประมาณเพื่อผลักดันโอกาสที่เข้มแข็งของชาติและของคน ไม่มีเหตุผลใดๆ เลยที่ดนุพรต้องขุ่นเคืองใจกับคำว่า “เจ๊ง” เพราะมันยังไม่เจ๊งจนเล่นบทโฆษกการเมือง “ปากจัด” แว้งกัดพรรคก้าวไกลเรื่องจะโดนยุบ ทั้งๆ ที่พรรคของตนก็เคยโดนยุบมาแล้วถึง 2 หน และเป็นการโดนยุบจากการกระทำ “ทุจริต” ซึ่งน่าอับอายกว่า

5.4 ภคมน เป็นคนที่ “จับประเด็นเก่ง” และครั้งนี้เธอตอบโต้ได้แบบ “พอดีๆ” ไม่เลอะ ไม่เว่อร์ ไม่ดราม่า มีประเด็นเดียวที่เป็น “มุมคับแคบทางสมอง” ของภคมน และเป็นยุทธศาสตร์สื่อสารของคนในพรรคก้าวไกล คือ เรื่องการจัดตั้งรัฐบาล ใช่ พรรคก้าวไกลได้ สส. มากที่สุดจากการเลือกตั้ง นั่นคือการเลือก สส. แต่การเลือกนายกฯ หรือเลือกรัฐบาลนั้น เป็นเรื่องที่ สส. ต้องเลือกกันเอง เป็นการเลือกขยักที่สอง ซึ่งพรรคก้าวไกลไม่ยอมถอยเรื่อง ม.112 ทั้งๆ ที่มีพรรคการเมืองประกาศชัดว่า ถ้าถอยเรื่อง 112 พรรคการเมืองบางพรรคจะยกมือสนับสนุนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลในขณะนั้นเป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล รวมถึง สว. จำนวนหนึ่งด้วย ซึ่งรอบนี้ มีกติกาที่ไม่ชอบมาพากลเพิ่มเติมอยู่ในรัฐธรรมนูญ ส่วนที่เรียกว่า “บทเฉพาะกาล” ให้ สว. ร่วมโหวตเลือกนายกฯ ด้วยเท่านั้น นั่นทำให้การแข่งขันกันเป็นนายกฯ ในการเลือกขยักที่สองนี้ ไม่แฟร์!!!

5.5 พรรคก้าวไกล ภคมน และประชาชนที่หนุนพรรคก้าวไกล มีสิทธิจะไม่พอใจในกติกาดังกล่าว แต่มันก็เป็นกติกา และเป็นกติกาที่รู้กันอยู่ก่อนแล้ว การจะอ้างซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ต้องเคารพเจตนารมณ์ของประชาชน ทั้งๆ ที่สส. กับ สว. ได้เลือกนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จึงเป็นสภาพของ “เด็กงอแง”

5.6 ไม่มีกติกากำหนดว่า มี สส. เยอะสุดแล้วต้องได้เป็นรัฐบาล เพราะไปหมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้ จึงทำให้พรรคก้าวไกล ไม่ทันเหลี่ยมคูทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย ซึ่ง “เจนเวที” กว่า ภคมนควรเลิกงอแงเรื่องนี้ แล้วเอาไปเป็นบทเรียนในการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งปลอดโปร่งกว่า ตรงที่ไม่มี สว. มาก้าวก่ายการเลือกนายกฯ อีกแล้ว

สรุป : ระดับนำของพรรคก้าวไกลล้วนพูดว่า ถ้ายุบพรรคก้าวไกล พรรคใหม่ที่ตั้งขึ้นจะยิ่งเติบโตเร็วเพราะฉะนั้น ด่าดนุพรเสร็จ ไปหาทางชนะการเลือกตั้งครั้งหน้าให้ถล่มทลายเถอะนะหนูนะ ซึ่งนักวิเคราห์ทั้งหลายต่างวิเคราะห์ตรงกันว่า มีโอกาสเป็นไปได้สูงมาก!!