โครงการปุ๋ยคนละครึ่ง จะใช้เงินจาก ธ.ก.ส.สมทบค่าปุ๋ยให้ชาวนาประมาณ 2.9 หมื่นล้านบาท
โดยชาวนาจะต้องออกเงินค่าปุ๋ยเองครึ่งหนึ่ง
ถ้าชาวนาทั่วประเทศใช้สิทธิเต็มโครงการ ก็จะเป็นเงินค่าปุ๋ยรวมกันเกือบ 6 หมื่นล้านบาท
นี่เป็นเค้กชิ้นใหญ่ที่หลายคนจ้องตาเป็นมัน
ขณะนี้ ทางการ โดยกรมการข้าว กำลังดำเนินการคัดเลือก “ผู้ขายปุ๋ย” ว่าจะมีรายใดเข้าร่วมโครงการได้บ้าง รวมทั้งราคาด้วย
ถ้าคัดเลือกอย่างโปร่งใส มีประสิทธิภาพ สหกรณ์การเกษตรก็จะมีตัวเลือกว่าจะซื้อปุ๋ยสูตรไหน จากพ่อค้าปุ๋ยรายใด
คงพอจะเห็นภาพว่า ขั้นตอนนี้ สำคัญขนาดไหน
ปรากฏว่า มีผู้ประกอบการขายปุ๋ยอินทรีย์รายหนึ่ง ได้สมัครเข้าร่วมโครงการนี้แล้วเขียนเล่าเรื่องข้อมูล การดำเนินการ ความคาดหวัง เกี่ยวกับโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง อย่างน่าสนใจ
ได้ลุ้นตามไปด้วย
แต่ในเรื่องเล่านั้น ก็สะท้อนถึงท่าที มุมมอง และความคาดหวังของคนในวงการปุ๋ยบางคน ที่มีต่อโครงการปุ๋ยคนละครึ่งอย่างน่าหวาดเสียว
ขอสรุปบางส่วน ให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบไว้ ก่อนที่โครงการจะเดินหน้าไปหลังจากนี้
1. แฟนเพจ “แพทการ์เด้น Patt’Garden” โดยคุณสัมพันธ์ พิพัฒน์วรการเริ่มต้นด้วยการเล่าถึงความคิดที่จะสมัครเข้าไปขายปุ๋ยในโครงการปุ๋ยคนละครึ่งว่า
“...ฟังนะคุณสัมพันธ์ ผู้ใหญ่คนหนึ่งพูดกับผม
งานนี้เขามีเจ้าภาพกันหมดแล้วสำหรับโครงการปุ๋ยชาวนาคนละครึ่ง
คุณสัมพันธ์จะเข้ามาขายปุ๋ยในโครงการนี้ มันเป็นไปไม่ได้
อาจารย์เป็นคนตั้งใจดีเป็นคนไอเดียดีมีความสามารถ แต่เขาล็อคกันไว้หมดแล้ว
เขารู้เขาได้งานได้โควต้าผลิตกันหมดแล้ว ว่าใครจะได้ผลิตอะไรแล้วได้ปริมาณเท่าไหร่...
ผมเข้ากลุ่มดูข้อมูล บริษัทยักษ์ใหญ่เขานิ่งมาก มีแต่เชลส์แมนปุ๋ยกับผู้ประกอบการเล็กๆวิ่งกันให้พล่าน กับโครงการร่วมหกหมื่นล้าน ปุ๋ยเคมีปุ๋ยอินทรีย์และชีวภัณฑ์ 2.7 ล้านตันปุ๋ยเนี่ยนะ บริษัทยักษ์ใหญ่เงียบมาก
...จากมุมมองผู้หลักผู้ใหญ่ที่ผมไปปรึกษา ผมคงไม่ได้งานแน่ๆในโครงการนี้
แต่ผมมั่นใจในระบบภาครัฐภาคประชาสังคม ผมมั่นใจคุณภาพ มั่นใจในกระบวนกำลังการผลิตของโรงงานผมด้วย แม้จะมีข่าวว่ายักษ์ใหญ่เขากว๊านซื้อแม่ปุ๋ยการผลิตไว้หมดแล้วทั้งประเทศ
ผมมานั่งคิดรึมันจะจริงทำไมเจ้าใหญ่ๆ เขานิ่งสนิทกันจัง แต่ผมก็มั่นใจอีกนะว่าระบบเดิมๆมันต้องเปลี่ยน นี่มันยุค 56 ปีหลังจากการมีการตั้งโรงงานปุ๋ยเคมีแห่งแรกในประเทศไทยเกิดขึ้น
วัฏจักรเดิมๆของการเข้าควบคุมกระบวนการผลิตข้าวของชาวนา 4.8 ล้านครัวเรือนที่ถือว่าเป็นกระดูกสันหลังของประเทศชาติจะยังต้องคงเป็นเหมือนเดิมๆไปทุกปีทุกปีทุกรัฐบาลงั้นเหรอ
...ผมก็บอกเจ้าของโรงงานนะ แม้เราจะผ่านเอกสารต่างๆ จนได้เข้าร่วมโครงการเราอาจจะขายไม่ได้แม้แต่กระสอบเดียวก็เป็นได้นะ
ชาวนาก็อาจจะไม่ซื้อของเราแม้แต่กระสอบเดียว
เจ้าของโรงงานก็เงียบ ผมบอกยังไงอย่างน้อยเราก็ยังได้สู้จนสุดกำลัง ผลความจริงออกมายังไงก็เป็นเรื่องของโชคชะตาฟ้าลิขิตเป็นเรื่องของอนาคตก็เท่านั้น...”
2. หลังจากนั้น คุณสัมพันธ์ พิพัฒน์วรการ ได้ขยายความเพิ่มเติม เมื่อยื่นใบสมัครไปแล้ว ระบุว่า
“...หลังจากเจ้าหน้าที่ไม่รับเอกสาร ให้กลับบ้านไปก่อนวันนั้น เขาบอกแล้วค่อยมายื่นใหม่
วานนี้ ผมก็ให้โรงงานปุ๋ยมายื่นอีก ไม่ท้อๆ ลุยสมัครเข้าร่วมโครงการเป็นผู้ประกอบการค้าปุ๋ยให้ได้ในโครงการปุ๋ยคนละครึ่งชาวนา
ด่านแรกเมื่อวานสำเร็จเรียบร้อย คือ เจ้าหน้าที่กรมการข้าวรับเอกสารไปเรียบร้อย
แต่ก็ต้องไปลุ้นผลต่อเหมือนสอบเข้ารอบสอง คือ ต้องรอประกาศชื่อว่ามีเรามีสิทธิ์มีรายชื่อเข้าร่วมโครงการนี้ไหม
เจ้าของโรงงานก็บอกผมว่าอาจารย์ๆ เราจะได้เราจะผ่านไหม เห็นบอกจะไปตรวจโรงงานเราด้วย ผมบอกตรวจก็ตรวจก็ดีเลยจะได้เห็น
ผมตอบจริงๆ นะ ผมไม่รู้เหมือนกัน ว่าเราจะผ่านไหม และผมบอกว่าให้ยื่นแค่ 2 ตัวพอ
ตัวที่ชาวไร่ชาวนาชาวสวน เขาจำเป็นต้องเอาไปใช้จริงๆก็คือปุ๋ยอินทรีย์ที่มีออแกนิคแมตเตอร์สูงๆ เกือบ 30 ได้ยิ่งดี แม้ว่ากรมวิชาการจะระบุแค่ไม่ต่ำกว่า 20 เราทำของให้ดีมีคุณภาพเลยในนามอินทรีย์...เรา
สอง เชื่อผม บอกตัดปุ๋ยเคมีออกให้หมด เจ้าของงานคงอึ้ง เพราะบริษัทอยู่ได้ก็เพราะว่าปุ๋ยเคมีเลี้ยงอยู่ ผมบอกให้เหลือตัวจำเป็นจริงๆ ที่ใช้สำหรับนาข้าวคือตัว 16-8-8 เป็นสูตรที่เราคิดว่าจำเป็นสำหรับการทำนาจริงๆ พอ และมันก็อยู่ในสูตรที่ประกาศของโครงการภาครัฐด้วย
ปุ๋ยให้เหมาะกับการทำนาในประเทศไทยจริงๆ ซึ่งเราเองก็คิดค้นกันมานานแล้วนะเราก็ขึ้นทะเบียนเป็นปุ๋ยเคมีที่ใช้กับนาข้าวจริงๆ ก็คือสูตรนี้ และก็ทำมาตั้งหลายปีแล้ว
เชื่อผมลงทะเบียนไปแค่ 2 ตัวนี้พอ
ยูเรียหรือปุ๋ยเคมีอื่นๆ ตัดทิ้งหมดไม่ต้องยื่น
ผมเข้าโครงการนี้ ไม่ได้เข้ามาเพื่อที่จะอยากขายปุ๋ยมากๆหรอก แต่ผมอยากจะเปลี่ยนการเกษตรบ้านเรา โดยเฉพาะนาข้าว 4.68 ล้านครัวเรือนเนี่ย ให้รู้จักคำว่าปุ๋ยอินทรีย์เคมีต่ำคุณภาพสูง เขาต้องใช้ 2 ตัวนี้ร่วมกันเป็นแล้วหลักการทำนาข้าวบ้านเราจะเปลี่ยน
ถึงแม้เขาจะไม่ได้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์หรือเคมีจากเราเขาจะซื้อจากบริษัทไหนก็ตามแต่เราต้องสอนเขาใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่เป็นปุ๋ยอินทรีย์จริงๆ ว่ามันดีกว่าหรือมันแตกต่างจากขี้หมูขี้เป็ดขี้ไก่ขี้วัวขี้ค้างคาวที่เขาใส่ไหม
เราต้องใช้โอกาสนี้แนะนำชาวนาชาวไร่ ที่เขาปลูกข้าวเก่งกว่าเราอีก มันน่าสนุกออกที่เราจะเกิดการถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์ร่วมกันกับชาวนานับล้านๆ คนในเชิงสร้างสรรค์ในวงกว้างทั้งประเทศจากโครงการนี้ เพื่อให้ผลผลิตข้าวทะลุ 1 ตันต่อไร่เหมือนนานาประเทศเขา และร่างกายเกษตรกรชาวนาพี่น้องเราก็แข็งแรงปลอดภัยในการทำเกษตร
เชื่อผมยื่นแค่ 2 ตัวนี้ คือ ปุ๋ยอินทรีย์นวัตกรรม... และเคมี 16-8-8
เอาแค่ 2 ตัวนี้เชื่อผมๆ
เจ้าของโรงงานงานนิ่ง แล้วก็ตอบผม เอาไงเอากันอาจารย์ ตามอาจารย์
สรุป โรงงานส่งเอกสาร 2 ตัว แล้วผมก็ถามว่ากรอกปริมาณเท่าไหร่สำหรับปุ๋ยอินทรีย์ที่จะผลิตได้ในระยะเวลา 10 เดือนต่อจากนี้
เขาบอกว่า กรอกไปหมื่นตัน
ผมบอกตามนั้นเลย ตามที่โรงงานคิดว่าจะผลิตได้
เจ้าของโรงงานบอก เท่านี้ก็เยอะแล้วอาจารย์ เพราะคนผลิตปุ๋ยอินทรีย์ทั้งประเทศ ช่วยกันผลิตเท่านี้ก็เยอะแล้ว เหลือๆ ด้วย รวมๆ กันแสนตัน ก็มากมายแล้วอาจารย์ ก็ผลิตกันไม่ทันแล้ว
ผมบอกได้เลยก็ได้ แล้วแต่โรงงานคิดได้เลยๆ ตามนั้น ผมไม่ติด
แต่ผมขอถามใหม่ โครงการนี้ ถ้าสมบูรณ์แบบทั้งภาครัฐจ่าย 30,000 ล้านให้รวมกับชาวนาจ่ายอีก 30,000 ล้าน มูลค่าโครงการประมาณการ 6 หมื่นล้าน
ฟังผมให้ดีนะ ถ้าเอาสถิติการใช้ปุ๋ยบ้านเราเดิมๆ ชาวบ้านใช้ปุ๋ยเคมี 90% อินทรีย์รวมกับชีวภาพ 10%
ถ้าผมคิดว่า อัตราส่วนของการใช้ปุ๋ย เหมือนกับสถิติการใช้เงินมันเท่ากัน
นั่นหมายถึงชาวนาจะซื้อหาปุ๋ยเคมีด้วยเงินประมาณ 5.4 หมื่นล้าน และซื้อปุ๋ยอินทรีย์ด้วยเงินแค่ 6 พันล้าน
ฟังต่ออีกนะ ผมไม่รู้ว่าราคาเดียวกันทั้งประเทศที่จะประกาศออกมามันเท่าไหร่พรุ่งนี้มั้งที่เห็นบอกอธิบดีจะแถลงข่าวเรื่องนี้
ผมเดาเอาจากที่ผมโดดเข้ามาสู่วงการปุ๋ย เอาราคาแบบกลางๆ ยังไม่รวมค่าขนส่งปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพจริงๆก็น่าจะอยู่ที่ตันละ ไม่ต่ำกว่า 6,000 บาทหรือเปล่า
เจ้าของโรงงานก็บอกเป็นราคาที่ไม่น่าเกลียดที่ขายๆกัน งั้นก็เอา 6 พันล้าน หาร 6,000 บาทต่อตัน ทั้งหมดเท่าไหร่
เจ้าของโรงงานบอกไม่รู้สิอาจารย์มันเยอะ คิดไม่ทัน
ก็ล้านตันไง ผมบอก
ปุ๋ยอินทรีย์ ถ้าตามอัตราส่วนที่ผมคิดตรรกะแบบง่ายๆ ตามอัตราส่วนแบบหยาบๆ คณิตศาสตร์เบื้องต้น ใน 10 เดือน ต้องขนปุ๋ยอินทรีย์จริงๆให้ชาวนาล้านตัน
นั่นหมายถึงเดือนละแสนตัน เจ้าของโรงงานบอกโอ้โหโรงงานทั้งประเทศรวมกันยังยากเลยอาจารย์
ผมบอกเห็นไหม ถ้าเรามีของดีของเรามีคุณภาพเรานำเสนอตัวเองอ่ะถูกต้องแล้ว ถ้าโรงงานอื่นๆเขาทำได้เต็มที่ส่งได้หมดก็นับว่าเก่งมากๆ
ความยากมันไปอยู่ตรงออแกนิคแมตเตอร์ต่างๆ ต้องหามาให้เพียงพอ แทบจะหมดทั้งประเทศเลยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น เรายังพอมีโอกาสสู้นะ
...ก็ที่ผมบอกข้างต้น เรามีครบทุกอย่างเรายื่นเอกสารถูกต้องทุกอย่าง โรงงานเราก็เป็นโรงงานระดับต้นๆ ในประเทศเหมือนกัน
ถ้าเราไม่ผ่าน อีกหลายสิบโรงงานก็คงไม่ผ่าน แล้วโรงงานไหนที่เขาจะผลิตได้เป็นล้านตันได้ใน 10 เดือน
ผมก็บอกเจ้าของโรงงาน ต่อให้เอกสารไม่ผ่าน คุณไม่ต้องตกใจหรอก คนงานคุณร้อยกว่าคนในโรงงานมีงานทำแน่นอน เพียงแต่ผมอาจจะไม่ได้ขายไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยตรงๆ หรือได้ขายให้กับเกษตรกรหรือองค์กรภาครัฐตรงๆ แต่ก็คงมีคนมาจ้างโรงงานคุณผลิตมาจ้างปั้นและซื้อ organic matter โรงงานมากมายแน่นอน 10 เดือนจากนี้ ไม่ต้องห่วงผมกับลูก
โครงการนี้ก็น่าจะประกาศผลใน 2-3 วันนี้ ลุ้นๆว่าการโดดเข้าสู่วงการปุ๋ยของนาข้าวพืชไร่ของผมกับลูกสาว ฝันจะเป็นจริงไหมกับการทำเกษตรนาข้าวอินทรีย์ทั้งแผ่นดินหรือสอนให้เขาใช้อินทรีย์ผสมเคมีต่ำเป็นอย่างน้อย
ถ้ามันได้ผล กระดูกสันหลังของประเทศชาติอย่างชาวไร่ชาวนาบ้านเราน่าจะลืมตาอ้าปากพอสู้กับชาวสวนผลไม้เขาได้บ้าง และนั่นก็คือความฝันของผมเลย
แม้แท้จริงชาวบ้านชาวไร่ชาวนาอาจจะไม่ซื้อปุ๋ยผมสักกระสอบ แต่ผมก็จะสอนเขาทำแบบนี้ต่อไป
อนาคตการเกษตรมันต้องสอดคล้องกับ BCG model มันหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ เพราะมันเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับคุณภาพผลผลิตและราคาผลผลิตและโลกร้อนก็มาเป็นปัจจัยด้วย....”
3.น่าสนใจและน่าติดตาม ว่าโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง จะมีผู้ประกอบการผ่านการคัดเลือกกี่ราย? เป็นรายใหญ่กี่ราย? รายเล็กๆ กระจายตามจังหวัดต่างๆ กี่ราย?
แล้วจะมีรายใหญ่ๆ กี่ราย ที่ได้รับเลือกซื้อปุ๋ยโดยสหกรณ์การเกษตรเป็นคนซื้อ จากรายชื่อที่ผ่านการคัดเลือกมา
ผู้ได้รับเลือก จะมีการไปซื้อสินค้าจากรายอื่นมาขายกินหัวคิว หรือไม่? เพราะผลิตเองเพียงพอหรือ?
แค่นี้ ก็เร้าใจ น่าติดตามจะแย่แล้ว
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี