วันอาทิตย์ ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
“Equal rights for others does not mean fewer rights for you. It’s not pie”- Jesse Williams
เดือนมิถุนายนของทุกปี คือ หมุดหมายที่สำคัญของการเฉลิมฉลอง “Pride Month” เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ในการสนับสนุนความเสมอภาคและความภูมิใจที่หลากหลายของทุกอัตลักษณ์ทางเพศ และเป็นการย้ำเตือนประวัติศาสตร์การต่อสู้ของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQIA+) แต่เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2567 คือ เดือนประวัติศาสตร์ของกลุ่ม LGBTQIA+ ประเทศไทยในการแสดงความก้าวหน้าในเรื่องของสิทธิผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ เนื่องจากวุฒิสภามีมติเห็นชอบ “ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม” ซึ่งทำให้ประเทศไทย เป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่รองรับการแต่งงานของบุคคลเพศเดียวกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความน่ายินดีเป็นอย่างมาก ที่ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศได้รับสิทธิที่มีความเสมอภาคทางเพศมากขึ้นในประเทศไทย “ประเทศสวรรค์ของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ (Gay Paradise)”
ก่อนอื่นขอขยายความเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิทธิของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศตามกฎหมายสมรสเท่าเทียม ว่าได้รับสิทธิอะไรบ้างครับ คู่รักผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศสามารถสมรสกันได้อย่างถูกกฎหมาย สามารถจดทะเบียนสมรสได้ สามารถหมั้น แต่งงาน และหย่าร้างได้ มีสิทธิในการเป็นผู้ปกครองของบุตรบุญธรรม สิทธิในการลงนามยินยอมให้รักษาพยาบาลของคู่สมรสได้ สามารถรับมรดกได้ และมีสิทธิในการจัดการทรัพย์สินสมรสร่วมได้ซึ่งสิทธิเหล่านี้เป็นสิทธิที่ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศได้มีการต่อสู้มาเพื่อให้ได้สิทธิขั้นพื้นฐานนี้กว่า 23 ปี ตั้งแต่รัฐบาลของทักษิณ ชินวัตร แต่ร่างกฎหมายถูกต่อต้านและถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นต้นมาจากสังคมในประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน
ทุกคนเคยตั้งคำถามหรือไม่ว่าทำไมกฎหมายสมรสเท่าเทียมของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศเป็นสิทธิที่ต้องสู้อย่างยากลำบากเพื่อให้ได้มาเมื่อเปรียบเทียบกับสิทธิเรื่องเดียวกันของผู้ที่มีเพศสภาพตามเพศกำเนิด (Cisgender) หรือคนมักจากเรียกกันในสังคมว่า “ชายจริง หญิงแท้” ซึ่งต่อไปนี้ผู้เขียนจะขอใช้คำแทนว่า “ผู้ชาย” และ “ผู้หญิง” และทำไมสังคมบางกลุ่มถึงวิพากษ์ว่าการให้สิทธิแก่ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ทำให้สิทธิของผู้ชาย และผู้หญิงลดลง แล้วมันลดลงจริงหรือไม่
ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา รัฐ ผู้มีบทบาทและมีอำนาจในการจัดการทรัพยากร กำหนดความเชื่อ กำหนดว่าอะไรคือสิ่งที่ดี และไม่ดี สิ่งที่ควรกระทำ และไม่ควรกระทำ ใครมีบทบาทอะไร ควรทำอะไรในสังคม ส่วนหนึ่งเป็นสิ่งที่รัฐเป็นผู้มีอำนาจในการกำหนด เช่นเดียวกับเพศสภาวะ (Gender) และบทบาททางเพศ (Gender role) ที่ผ่านมารัฐใช้ระบบกรอบเพศแบบสองขั้ว (Gender Binary) คือ การแบ่งประชากรออกเป็น 2 เพศ ตามเพศกำเนิด (Sex) เท่านั้น คือ เพศชาย และเพศหญิงตามหลักทางกายภาพทางวิทยาศาสตร์ ขณะเดียวกัน รัฐก็ยึดถือบทบาทและรสนิยมทางเพศแบบชอบเพศตรงข้าม (Heterosexuality)เป็นกรอบของสังคม เพราะฉะนั้น การวางระบบของรัฐไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรม บทบาทในสังคม กฎหมาย ก็มักจะพัฒนาขึ้นมาตามระบบโครงสร้างกรอบเพศแบบสองขั้วเท่านั้นเป็นต้นมา รัฐเลยพยายามบอกเราว่ามันมีแค่สองเพศนี้เท่านั้น โดยตีกรอบผ่านเครื่องแบบ ทรงผม เสื้อผ้า อาชีพที่ควรทำในสังคม พฤติกรรมที่เราควรจะปฏิบัติ ของเล่นที่เราควรจะเล่นและสีที่เราควรที่จะชอบ เป็นต้น ทุกอย่างมักจะถูกจัดแบ่งเอาไว้แล้วว่าอะไรเหมาะสมกับเพศไหน ถ้าอ้างอิงจากทฤษฎีชีวการเมือง (Biopolitics) โดย มิเชล ฟูโกต์ การตั้งระบบและโปรแกรมแบบนี้คงจะช่วยให้ระบบสังคมนั้นดำเนินการไปอย่างราบรื่น และง่ายดีตามที่รัฐจัดสรรไว้
ทั้งนี้ มนุษย์มีความซับซ้อนในเรื่องทางเพศในทุกมิติมากกว่านั้น กลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ หรือ LGBTQIA+ (Lesbian, Gay, Bisexual, Transgenders, Queer, Asexual, Intersex and more) เป็นผู้ที่มีอัตลักษณ์ทางเพศ (Genderidentity) รสนิยมทางเพศ และการแสดงออกทางเพศที่ไม่ได้อยู่ในระบบกรอบเพศแบบสองขั้ว ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศเหล่านี้จึงต้องประสบกับความท้าทายที่เกิดขึ้น เช่น “การลงโทษทางสังคม” สังคมมองว่าสิ่งนี้ คือ สิ่งแปลกปลอมและเป็นสิ่งที่ประหลาด จึงมีการตีตรา (Stigmatize) หรือการล้อเลียนในรูปแบบต่างๆ เป็นต้น และความท้าทายต่อมา คือ “การไม่มีกฎหมาย และสิทธิขั้นพื้นฐานรองรับ” ซึ่งสอดคล้องกับกรณีกฎหมายสมรสเท่าเทียมซึ่งไม่มีการรับรองผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ และรสนิยมทางเพศแบบชอบเพศเดียวกัน (Homosexuality) เป็นต้น ทั้งนี้ เมื่อมีการรองรับการมีตัวตนของ ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศและรองรับรสนิยมทางเพศแบบชอบเพศเดียวกันแล้วจึงกลายเป็นเรื่องที่ใหม่ และสร้างความไม่สบายใจให้กับสังคมที่มีกรอบความเชื่อเดิม และแนวปฏิบัติเดิมของสังคมที่ยอมรับการมีอยู่ของผู้ชายและผู้หญิงเท่านั้นได้
สิ่งที่เกิดขึ้นเลยจากการที่มีการประกาศว่า กฎหมายสมรสเท่าเทียมได้ผ่านการเห็นชอบของมติ สว. แล้วคือ สังคมบางส่วนมองว่าผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศเป็น “ผู้ที่แย่งพื้นที่เดิมของผู้ชายจริง หญิงแท้ในสังคม” หรือ มองว่าการให้สิทธิผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ มักเป็น “การลิดรอนและลดทอนสิทธิบางส่วนของกลุ่มคนชายจริงหญิงแท้” โดยกลุ่มคนที่ไม่พอใจมักวิพากษ์ว่าผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศขัดต่อหลักศาสนาที่เชื่อว่ามนุษย์มีแค่เพศชายและเพศหญิงเพียงเท่านั้น การรับรองสิทธิของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ จึงเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนเป็นผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศมากขึ้น ซึ่งกระทบกับผู้ที่มีความเชื่อทางศาสนาใดศาสนาหนึ่งในประเทศ อีกประการหนึ่งเลยคือ การมีกฎหมายสมรสเท่าเทียมจะส่งผลต่อการให้กำเนิดประชากรใหม่ๆสู่สังคมลดลง และขัดกับหลักความเชื่อทางศาสนาเดิมว่า การให้กำเนิดบุตร คือ หน้าที่ที่พึงกระทำ เป็นต้น
ในความเป็นจริงแล้วหลายคนคงปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศมีมานานมากแล้ว และมีอยู่ในสังคมทั่วโลกมาโดยตลอด หากแต่โดนกรอบของสังคมกดทับทำให้ ต้องปกปิดตัวตนของตนเองโดยเสมอมา และอัตลักษณ์ทางเพศ และรสนิยมทางเพศควรเป็นสิ่งที่เลือกได้ ปัจจุบันมีความก้าวหน้าในเรื่องกฎหมาย และสิทธิมากขึ้น ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศรู้สึกปลอดภัยและสิทธิมากขึ้นจึงกล้าที่จะแสดงตัวตนมากขึ้น (Out of closet) การให้สิทธิและมีกฎหมายที่สนับสนุนความเสมอภาค และปกป้องผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศจึงไม่ใช่เป็นการลดสิทธิใคร แต่เป็นการเพิ่มสิทธิที่พึงมีให้แก่ประชาชนในสังคมให้มีความเสมอภาคกับคนอื่น และการรองรับการมีอยู่ของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศให้และได้รับการปฏิบัติแบบชายจริงหญิงแท้ที่ได้มีสิทธิในการใช้ชีวิตอย่างเสรีมานานมากแล้ว นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดความเข้าใจของความหลากหลายของคนในสังคมให้มากขึ้น สิทธิ จึงไม่ใช่ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด แบบ Zero-sum game หรือขนมเค้กที่เมื่อเกิดการแบ่งผลประโยชน์กัน แล้วชิ้นเค้กของใครบางคนจะลดน้อยลง แต่การให้สิทธิที่เสมอภาคเป็นเครื่องการันตีว่าทุกคนจะได้มีเสรีภาพในการใช้ชีวิตได้อย่างมีความภาคภูมิใจ และเต็มศักยภาพเท่าที่มนุษย์หนึ่งคนควรมี
บทความนี้ ผู้เขียนมีความพยายามที่สร้างความตระหนักที่ความสำคัญของการส่งเสริมความเสมอภาคของของกลุ่มคนทุกเพศ ความพยายามชี้ให้เห็นถึงกรอบของสังคมที่กดทับประชาชนบางกลุ่มอยู่ และพยายามชี้ให้เห็นว่าการให้สิทธิที่เสมอภาคคือ การสร้างเสริมสร้างความเป็นมนุษย์ หากแต่เป็นการลิดรอนสิทธิของใคร กฎหมายสมรสเท่าเทียมจึงเป็นหมุดหมายที่สำคัญ และเป็นฐานที่ส่งต่อให้การพัฒนาสิทธิในมิติอื่นๆ ของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศต่อไป จนกว่าท้องฟ้าจะเป็นสีรุ้ง จนกว่าทุกคนจะเสมอภาค และจนกว่าจะไม่มีคำว่าสิทธิของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ แต่เป็นสิทธิมนุษยชนที่เสมอภาคกันSo Be Bold, Be Strong and Be Pride!!!
เจริญ สู้ทุกทิศ
.jpg)

งดงามทั้งกายและใจ! 'แคท ซอนญ่า'ถวายอาลัย พร้อมแจกอาหารให้ประชาชน
'รองนายกฯธรรมนัส'เยือนพัทลุง เร่งรัดพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อชาวพัทลุง
เร่งรวบรวมข้อมูล! ‘ชนินทร์’ยัน‘พท.’ซักฟอก‘นายกฯ’แน่
'ญี่ปุ่น'เตือนภัยสึนามิ หลังแผ่นดินไหว 6.7 เขย่านอกชายฝั่งอิวาเตะ
พท.พร้อมสู้ศึกเลือกตั้ง! ประชุมแต่งตั้งตัวแทนสาขาพรรค จ.แม่ฮ่องสอน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี