“Equal rights for others does not mean fewer rights for you. It’s not pie”- Jesse Williams
เดือนมิถุนายนของทุกปี คือ หมุดหมายที่สำคัญของการเฉลิมฉลอง “Pride Month” เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ในการสนับสนุนความเสมอภาคและความภูมิใจที่หลากหลายของทุกอัตลักษณ์ทางเพศ และเป็นการย้ำเตือนประวัติศาสตร์การต่อสู้ของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQIA+) แต่เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2567 คือ เดือนประวัติศาสตร์ของกลุ่ม LGBTQIA+ ประเทศไทยในการแสดงความก้าวหน้าในเรื่องของสิทธิผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ เนื่องจากวุฒิสภามีมติเห็นชอบ “ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม” ซึ่งทำให้ประเทศไทย เป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่รองรับการแต่งงานของบุคคลเพศเดียวกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความน่ายินดีเป็นอย่างมาก ที่ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศได้รับสิทธิที่มีความเสมอภาคทางเพศมากขึ้นในประเทศไทย “ประเทศสวรรค์ของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ (Gay Paradise)”
ก่อนอื่นขอขยายความเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิทธิของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศตามกฎหมายสมรสเท่าเทียม ว่าได้รับสิทธิอะไรบ้างครับ คู่รักผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศสามารถสมรสกันได้อย่างถูกกฎหมาย สามารถจดทะเบียนสมรสได้ สามารถหมั้น แต่งงาน และหย่าร้างได้ มีสิทธิในการเป็นผู้ปกครองของบุตรบุญธรรม สิทธิในการลงนามยินยอมให้รักษาพยาบาลของคู่สมรสได้ สามารถรับมรดกได้ และมีสิทธิในการจัดการทรัพย์สินสมรสร่วมได้ซึ่งสิทธิเหล่านี้เป็นสิทธิที่ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศได้มีการต่อสู้มาเพื่อให้ได้สิทธิขั้นพื้นฐานนี้กว่า 23 ปี ตั้งแต่รัฐบาลของทักษิณ ชินวัตร แต่ร่างกฎหมายถูกต่อต้านและถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นต้นมาจากสังคมในประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน
ทุกคนเคยตั้งคำถามหรือไม่ว่าทำไมกฎหมายสมรสเท่าเทียมของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศเป็นสิทธิที่ต้องสู้อย่างยากลำบากเพื่อให้ได้มาเมื่อเปรียบเทียบกับสิทธิเรื่องเดียวกันของผู้ที่มีเพศสภาพตามเพศกำเนิด (Cisgender) หรือคนมักจากเรียกกันในสังคมว่า “ชายจริง หญิงแท้” ซึ่งต่อไปนี้ผู้เขียนจะขอใช้คำแทนว่า “ผู้ชาย” และ “ผู้หญิง” และทำไมสังคมบางกลุ่มถึงวิพากษ์ว่าการให้สิทธิแก่ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ทำให้สิทธิของผู้ชาย และผู้หญิงลดลง แล้วมันลดลงจริงหรือไม่
ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา รัฐ ผู้มีบทบาทและมีอำนาจในการจัดการทรัพยากร กำหนดความเชื่อ กำหนดว่าอะไรคือสิ่งที่ดี และไม่ดี สิ่งที่ควรกระทำ และไม่ควรกระทำ ใครมีบทบาทอะไร ควรทำอะไรในสังคม ส่วนหนึ่งเป็นสิ่งที่รัฐเป็นผู้มีอำนาจในการกำหนด เช่นเดียวกับเพศสภาวะ (Gender) และบทบาททางเพศ (Gender role) ที่ผ่านมารัฐใช้ระบบกรอบเพศแบบสองขั้ว (Gender Binary) คือ การแบ่งประชากรออกเป็น 2 เพศ ตามเพศกำเนิด (Sex) เท่านั้น คือ เพศชาย และเพศหญิงตามหลักทางกายภาพทางวิทยาศาสตร์ ขณะเดียวกัน รัฐก็ยึดถือบทบาทและรสนิยมทางเพศแบบชอบเพศตรงข้าม (Heterosexuality)เป็นกรอบของสังคม เพราะฉะนั้น การวางระบบของรัฐไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรม บทบาทในสังคม กฎหมาย ก็มักจะพัฒนาขึ้นมาตามระบบโครงสร้างกรอบเพศแบบสองขั้วเท่านั้นเป็นต้นมา รัฐเลยพยายามบอกเราว่ามันมีแค่สองเพศนี้เท่านั้น โดยตีกรอบผ่านเครื่องแบบ ทรงผม เสื้อผ้า อาชีพที่ควรทำในสังคม พฤติกรรมที่เราควรจะปฏิบัติ ของเล่นที่เราควรจะเล่นและสีที่เราควรที่จะชอบ เป็นต้น ทุกอย่างมักจะถูกจัดแบ่งเอาไว้แล้วว่าอะไรเหมาะสมกับเพศไหน ถ้าอ้างอิงจากทฤษฎีชีวการเมือง (Biopolitics) โดย มิเชล ฟูโกต์ การตั้งระบบและโปรแกรมแบบนี้คงจะช่วยให้ระบบสังคมนั้นดำเนินการไปอย่างราบรื่น และง่ายดีตามที่รัฐจัดสรรไว้
ทั้งนี้ มนุษย์มีความซับซ้อนในเรื่องทางเพศในทุกมิติมากกว่านั้น กลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ หรือ LGBTQIA+ (Lesbian, Gay, Bisexual, Transgenders, Queer, Asexual, Intersex and more) เป็นผู้ที่มีอัตลักษณ์ทางเพศ (Genderidentity) รสนิยมทางเพศ และการแสดงออกทางเพศที่ไม่ได้อยู่ในระบบกรอบเพศแบบสองขั้ว ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศเหล่านี้จึงต้องประสบกับความท้าทายที่เกิดขึ้น เช่น “การลงโทษทางสังคม” สังคมมองว่าสิ่งนี้ คือ สิ่งแปลกปลอมและเป็นสิ่งที่ประหลาด จึงมีการตีตรา (Stigmatize) หรือการล้อเลียนในรูปแบบต่างๆ เป็นต้น และความท้าทายต่อมา คือ “การไม่มีกฎหมาย และสิทธิขั้นพื้นฐานรองรับ” ซึ่งสอดคล้องกับกรณีกฎหมายสมรสเท่าเทียมซึ่งไม่มีการรับรองผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ และรสนิยมทางเพศแบบชอบเพศเดียวกัน (Homosexuality) เป็นต้น ทั้งนี้ เมื่อมีการรองรับการมีตัวตนของ ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศและรองรับรสนิยมทางเพศแบบชอบเพศเดียวกันแล้วจึงกลายเป็นเรื่องที่ใหม่ และสร้างความไม่สบายใจให้กับสังคมที่มีกรอบความเชื่อเดิม และแนวปฏิบัติเดิมของสังคมที่ยอมรับการมีอยู่ของผู้ชายและผู้หญิงเท่านั้นได้
สิ่งที่เกิดขึ้นเลยจากการที่มีการประกาศว่า กฎหมายสมรสเท่าเทียมได้ผ่านการเห็นชอบของมติ สว. แล้วคือ สังคมบางส่วนมองว่าผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศเป็น “ผู้ที่แย่งพื้นที่เดิมของผู้ชายจริง หญิงแท้ในสังคม” หรือ มองว่าการให้สิทธิผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ มักเป็น “การลิดรอนและลดทอนสิทธิบางส่วนของกลุ่มคนชายจริงหญิงแท้” โดยกลุ่มคนที่ไม่พอใจมักวิพากษ์ว่าผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศขัดต่อหลักศาสนาที่เชื่อว่ามนุษย์มีแค่เพศชายและเพศหญิงเพียงเท่านั้น การรับรองสิทธิของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ จึงเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนเป็นผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศมากขึ้น ซึ่งกระทบกับผู้ที่มีความเชื่อทางศาสนาใดศาสนาหนึ่งในประเทศ อีกประการหนึ่งเลยคือ การมีกฎหมายสมรสเท่าเทียมจะส่งผลต่อการให้กำเนิดประชากรใหม่ๆสู่สังคมลดลง และขัดกับหลักความเชื่อทางศาสนาเดิมว่า การให้กำเนิดบุตร คือ หน้าที่ที่พึงกระทำ เป็นต้น
ในความเป็นจริงแล้วหลายคนคงปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศมีมานานมากแล้ว และมีอยู่ในสังคมทั่วโลกมาโดยตลอด หากแต่โดนกรอบของสังคมกดทับทำให้ ต้องปกปิดตัวตนของตนเองโดยเสมอมา และอัตลักษณ์ทางเพศ และรสนิยมทางเพศควรเป็นสิ่งที่เลือกได้ ปัจจุบันมีความก้าวหน้าในเรื่องกฎหมาย และสิทธิมากขึ้น ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศรู้สึกปลอดภัยและสิทธิมากขึ้นจึงกล้าที่จะแสดงตัวตนมากขึ้น (Out of closet) การให้สิทธิและมีกฎหมายที่สนับสนุนความเสมอภาค และปกป้องผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศจึงไม่ใช่เป็นการลดสิทธิใคร แต่เป็นการเพิ่มสิทธิที่พึงมีให้แก่ประชาชนในสังคมให้มีความเสมอภาคกับคนอื่น และการรองรับการมีอยู่ของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศให้และได้รับการปฏิบัติแบบชายจริงหญิงแท้ที่ได้มีสิทธิในการใช้ชีวิตอย่างเสรีมานานมากแล้ว นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดความเข้าใจของความหลากหลายของคนในสังคมให้มากขึ้น สิทธิ จึงไม่ใช่ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด แบบ Zero-sum game หรือขนมเค้กที่เมื่อเกิดการแบ่งผลประโยชน์กัน แล้วชิ้นเค้กของใครบางคนจะลดน้อยลง แต่การให้สิทธิที่เสมอภาคเป็นเครื่องการันตีว่าทุกคนจะได้มีเสรีภาพในการใช้ชีวิตได้อย่างมีความภาคภูมิใจ และเต็มศักยภาพเท่าที่มนุษย์หนึ่งคนควรมี
บทความนี้ ผู้เขียนมีความพยายามที่สร้างความตระหนักที่ความสำคัญของการส่งเสริมความเสมอภาคของของกลุ่มคนทุกเพศ ความพยายามชี้ให้เห็นถึงกรอบของสังคมที่กดทับประชาชนบางกลุ่มอยู่ และพยายามชี้ให้เห็นว่าการให้สิทธิที่เสมอภาคคือ การสร้างเสริมสร้างความเป็นมนุษย์ หากแต่เป็นการลิดรอนสิทธิของใคร กฎหมายสมรสเท่าเทียมจึงเป็นหมุดหมายที่สำคัญ และเป็นฐานที่ส่งต่อให้การพัฒนาสิทธิในมิติอื่นๆ ของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศต่อไป จนกว่าท้องฟ้าจะเป็นสีรุ้ง จนกว่าทุกคนจะเสมอภาค และจนกว่าจะไม่มีคำว่าสิทธิของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ แต่เป็นสิทธิมนุษยชนที่เสมอภาคกันSo Be Bold, Be Strong and Be Pride!!!
เจริญ สู้ทุกทิศ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี