การทุจริตคอร์รัปชันเป็นปัญหาเรื้อรังที่กัดกร่อนรากฐานของสังคมไทยมาอย่างยาวนาน แม้มีกฎหมายและมาตรการจากภาครัฐ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดหลายประการในการแก้ไขปัญหานี้“สื่อสืบสวน” (Investigative Journalism) เป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่ทำให้ความจริงถูกเปิดเผย และเปิดพื้นที่ให้สังคมร่วมตรวจสอบ โดยเฉพาะประชาชนทั่วไปที่เริ่มตระหนักว่าตนเองก็มีบทบาทในฐานะ “พลเมืองผู้เฝ้าระวัง” ที่ทำหน้าที่ในการตั้งคำถามต่อสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นในสังคม
ผู้เขียนมีโอกาสเข้าร่วม “กิจกรรมInvestigative Journalism for Anti-corruption 101 : สืบข่าว สาวโกงโยงข้อมูล” ภายใต้ โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการทำสื่อสืบสวนประเด็นทุจริตคอร์รัปชัน จัดขึ้นเมื่อวันที่ 2-3 สิงหาคม 2568 จัดโดยศูนย์ KRAC และภาคีเครือข่ายสื่อมวลชนต่อต้านคอร์รัปชัน เป็นกิจกรรมบรรยายและเวิร์กช็อปจากผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา ซึ่งครอบคลุมทั้งเทคนิคการสืบสวน การใช้ข้อมูลเปิดภาครัฐ และการวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อจัดทำสื่อสืบสวนประเด็นทุจริตคอร์รัปชัน
หนึ่งในหัวข้อที่น่าสนใจคือการบรรยาย “Talk & Investigate : เส้นทางสื่อสืบสวนจากเบาะแส...สู่ความจริง” โดยคุณสถาพรพงษ์พิพัฒน์วัฒนา หัวหน้าฝ่ายสื่อสารและดูแลภาพลักษณ์องค์กร สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย ที่มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ และได้ตอกย้ำถึงพลังของสื่อสืบสวนในการต่อต้านคอร์รัปชันได้
คุณสถาพรเน้นว่า การทำข่าวสืบสวนต้องเริ่มต้นจากหลักการพื้นฐาน การแยก “ข้อเท็จจริง” (Fact) ออกจาก “ความคิดเห็น” (Opinion) อย่างเคร่งครัด หากนักข่าวเผลอใส่ความเห็นที่ไม่มีหลักฐานรองรับข่าวนั้นอาจกลายเป็นช่องโหว่ทางกฎหมาย และบั่นทอนความน่าเชื่อถือของสื่อมวลชนได้ นอกจากนี้ยังต้องใช้ภาษาที่เป็นกลางและไม่สร้างอคติ เช่น คำว่า “โจรใต้” ที่เรามักพบเห็นอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งอาจตีตรากลุ่มคนทั้งภูมิภาค ควรปรับใช้คำว่า “ผู้ก่อเหตุ” ที่เป็นกลางกว่า หลักการเล็กๆ เหล่านี้แม้ดูเหมือนเรื่องภาษาศาสตร์ แต่แท้จริงแล้วคือ “เกราะป้องกัน” ที่ช่วยคุ้มครองจากการถูกฟ้องร้องทางกฎหมาย และสร้างความน่าเชื่อถือของสื่อมวลชนในสายตาสังคมได้
การประยุกต์ใช้หลักการเหล่านี้ในการทำข่าวสืบสวนในประเด็นการทุจริตคอร์รัปชันยกตัวอย่างกรณีตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่มจากแผ่นดินไหวหากนักข่าวสรุปทันทีว่า “เกิดจากการทุจริต” โดยไม่มีหลักฐานยืนยันซึ่งเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้อง แต่หากตั้งคำถามเชิงสืบสวน เช่น “โครงการนี้โปร่งใส?” หรือ “ราคาก่อสร้างสูงผิดปกติหรือไม่?” จะช่วยเปิดพื้นที่ให้สังคมร่วมตั้งคำถามและติดตามต่อได้ โดยไม่ด่วนตัดสิน
นอกจากนี้ คุณสถาพรยังได้ถ่ายทอดแนวทางการทำข่าวสืบสวนอย่างเป็นระบบผ่าน 4 ขั้นตอน ได้แก่ BLIND SPOT จุดเริ่มต้นของคำถาม การตั้งประเด็นข่าวสืบสวนที่ดีต้องเริ่มจากการมองหา “จุดบอด” หรือ Blind Spot ของเรื่องราว กล่าวคือ ต้องเป็นข้อมูลที่ยังไม่มีการนำเสนออย่างครบถ้วน ถูกละเลย หรือบิดเบือนไปในกระแสหลัก การมองเห็นช่องว่างเหล่านี้ต้องอาศัยทักษะการสังเกต วิเคราะห์ และตั้งคำถาม ซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานของงานข่าวสืบสวนที่มักจะนำไปสู่การเปิดโปงความจริง
Story Behind the Story การเชื่อมโยงข้อมูลเบื้องหลังเพื่อค้นหาความจริง การลงลึกไปยังเบื้องหลังเรื่องราวเพื่อค้นหาความเชื่อมโยงของบุคคล ข้อมูล และผลประโยชน์แอบแฝงที่เกี่ยวข้องกัน ตัวอย่าง กรณีสีกากอล์ฟที่เป็นหนึ่งในตัวอย่างของการเชื่อมโยงข้อมูลทางการเงินของวัดไปยังพระผู้ใหญ่และบุคคลภายนอก จนนำไปสู่การเปิดโปงโครงสร้างการทุจริตที่มีความซับซ้อนของการบริหารงานของวัด
ANGLE การกำหนดมุมมองให้เฉียบคมและพิสูจน์ได้ การ “ตั้งสมมุติฐานข่าว” หรือกำหนด Angle ของเรื่องให้เฉพาะเจาะจง มีจุดเน้น และสามารถพิสูจน์ได้ มุมข่าวที่ดีควรมี 3 คุณสมบัติ ได้แก่ แคบพอที่จะทำให้จับประเด็นได้ชัดเจน ตรงกับประเด็นที่ต้องการสื่อสารมีข้อมูลสนับสนุนที่เพียงพอในกระบวนการสืบสวนหากมุมข่าวกว้างเกินไป หรือไม่มีข้อมูลสนับสนุนที่ชัดเจนนักข่าวจะต้องปรับมุมใหม่ เพื่อรักษามาตรฐานความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของข่าว ไม่ใช่ทุกประเด็นจะนำเสนอได้ทันที การกลั่นกรองและคัดเลือก “มุมมองที่ใช่” เป็นศิลปะสำคัญที่ทำให้งานข่าวแตกต่างจากการเล่าข่าวทั่วไป
MAP การวางแผนที่ข้อมูลเพื่อการนำเสนออย่างเป็นระบบ การสร้าง “แผนที่ข้อมูล” (Mapping) เพื่อทดลองสรุปผล และกำหนดแนวทางการนำเสนอข่าวอย่างมีระบบ แผนที่นี้จะช่วยให้เห็นภาพรวมของเรื่องราว ตั้งแต่ใครคือผู้เกี่ยวข้อง หลักฐานหรือข้อมูลสนับสนุนที่มีอยู่ บริบทของเรื่องราว ภาพประกอบหรือสื่อเสริมที่ช่วยสื่อสารแผนที่ข้อมูลจะช่วยนักข่าวเลือก “มุมมองการนำเสนอ” ที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของข่าว
บทเรียนจากกิจกรรมในครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า กระบวนการทำข่าวสืบสวนเป็นอีกเครื่องมือที่ไม่จำกัดอยู่เฉพาะนักข่าวเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปสามารถนำไปใช้ในการตรวจสอบอำนาจภาครัฐ เมื่อประชาชนมีทักษะพื้นฐาน เช่น การแยกแยะข้อเท็จจริงจากความคิดเห็น การตั้งประเด็นหรือตั้งคำถามต่อสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น จะสามารถช่วยกันเฝ้าระวังและผลักดันให้ผู้มีอำนาจต้องแสดงความโปร่งใสต่อสังคม พร้อมทั้งสร้างวัฒนธรรมการตรวจสอบร่วมกัน ซึ่งจะกลายเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมไทยให้ก้าวพ้นจากวังวนคอร์รัปชันได้อย่างยั่งยืน
สุดท้ายนี้ ผู้เขียนขอเชิญชวนสื่อมวลชน นักข่าวอิสระตลอดจนผู้ที่สนใจการทำข่าวสืบสวนประเด็นทุจริตคอร์รัปชัน ร่วมกันติดตาม “กิจกรรม Investigative Journalism for Anti-Corruption 101: สืบข่าว สาวโกง โยงข้อมูล” ภายใต้ โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการทำสื่อสืบสวนประเด็นทุจริตคอร์รัปชัน รุ่นที่ 2 ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงต้นปี 2569 ผ่านเฟซบุ๊ก KRAC Corruption และเฟซบุ๊ก HAND Social Enterprise เพราะการสร้างสังคมโปร่งใสไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง หากแต่เป็นหน้าที่ร่วมกันของพลเมืองทุกคน
พัชรี ตรีพรม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี