“ไพศาล พืชมงคล” โพสต์เฟซบุ๊กตั้งแต่เช้าตรู่ของวันอาสาฬหบูชา ว่า...

“พท. เดินแผนลึก ชิงตั้งรัฐบาลซ้ำ ถ้าหากเศรษฐาถูกสอย!!!

ในขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาคดีถอดถอนนายกรัฐมนตรีเศรษฐาในวันที่ ปลายเดือนสิงหาคม 2567

แม้ว่าหลายฝ่ายจะมั่นใจว่าท่านนายกฯเศรษฐาจะฝ่าอุปสรรคนี้ไปได้ แต่ขณะเดียวกันก็มีการเดินแผนลึก เตรียมชิงตัดหน้าตั้งรัฐบาลรอบที่ 2 ถ้าหากว่า ท่านนายกฯเศรษฐาถูกสอย ซึ่งเป็นการกันท่าพรรคภูมิใจไทย และ พรรคก้าวไกล ไปในตัว

บิ๊กโทนี่ ประกาศให้ พรรคชาติพัฒนา ของสุวัจน์ ลิปตพัลลภ มารวมกัน ในลักษณะกลับบ้านเก่า มีการเดินเกมเพื่อผนึกพรรคพลังประชารัฐ โดยกันลุงป้อม ให้กลับไปนอนบ้าน กระชับความสัมพันธ์กับพรรคประชาธิปัตย์ จนเป็นเหตุให้ อดีตสส.เก่าหลายสมัยลาออกไปอีกคนหนึ่งแล้ว

แม้ พรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ได้รับการประสานงาน เพื่อร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลต่อไป

ในเดือนสิงหาคมนี้ ถ้าหากนายกฯเศรษฐาถูกสอยตกเก้าอี้ โดยมารยาททางการเมืองก็จะเป็นคิวของพรรคภูมิใจไทยจัดตั้งรัฐบาล ในฐานะมีเสียงมากเป็นลำดับที่ 3ซึ่งจะกระทบต่อการทำงานทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย และเป็นสภาพที่พรรคเพื่อไทยยอมไม่ได้ จึงเป็นที่มาของการเดิน ผนึกกำลังพรรคร่วมรัฐบาล และผูกแข้งผูกขาพรรคภูมิใจไทยไว้ เพื่อพรรคเพื่อไทยจะตั้งรัฐบาลใหม่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะมีผลต่อทิศทางการเมืองไทยอย่างหนักหน่วงรุนแรงที่จะต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด”

เรามาลองใช้โพสต์นี้ของคุณไพศาล เป็นแนวในการวิเคราะห์การเมืองไทยกันครับ

1) เศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดที่ไม่มีเสน่ห์ ไม่มีความรู้ในการบริหารราชการแผ่นดิน และถูก “กดหัว” เอาไว้โดย “นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร” จนไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรี แม้แต่คนในพรรคเพื่อไทยยังแสดงออกเช่นนั้น คุณคิดว่า ประชาชนภายนอกคนไหน ที่จะฝากชีวิต ให้ใจ และให้เกียรตินายกฯ เศรษฐากันล่ะครับ

2) ทักษิณ เป็นคนหลงตัวเอง มองคนอื่นในพรรคเพื่อไทย หรือแม้แต่คนที่ตนไปเชิญมา เป็นแค่ “ขี้ข้าบริวาร” เป็นแค่ “เครื่องมือทางการเมือง” หรืออย่างดีก็เป็นแค่ “พนักงานบริษัท” ที่จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุม สั่งการ ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ของเขา

3) ทักษิณติดหลงในระบบ “เครือญาติ” เพราะเคยทดลองใช้คนนอกครอบครัวอย่าง “นายสมัคร สุนทรเวช”มาแล้ว พบว่า ไม่อาจควบคุมได้ 100% ตอนหลังจึงเปลี่ยนมาใช้น้องเขย คือ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งก็ขาด “ภาวะผู้นำ”อยู่แล้ว คนในพรรคจึงให้ความสำคัญกับ “เมียสมชาย” และ “พี่เมียสมชาย” มากกว่า ซึ่งอาการดังกล่าวก็มาปรากฏอีกครั้งกับ “เศรษฐา ทวีสิน”

4) บวกกับนายเศรษฐาเองก็ไม่ได้แสดงความมุ่งมั่น ความรู้ ความเข้าใจในการเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นได้แค่ “พ่อค้า” ที่บุคลิกภาพแย่ แต่งกายแย่ ทัศนคติแย่ ปฏิบัติต่อข้าราชการแย่ และอีกหลายๆ แย่ จนปรากฏแก่คนทั่วไป เขาไม่มีนโยบายใดเป็นของตัวเองที่อยากจะพิสูจน์ มุ่งมั่น ผลักดัน และทำให้สำเร็จ นอกจากนโยบายให้ต่างชาติเช่าอสังหาริมทรัพย์ 99 ปี ที่ถูกตั้งคำถามว่า “ยังเอานิสัยพ่อค้าอสังหาริมทรัพย์ติดตัวมาทำต่อเหรอ?”

5) คนทั้งประเทศจึงเห็นเศรษฐาทำแต่อีเว้นต์ไปโน่นมานี่ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จนกลายเป็นผู้นำประเทศที่เดินทางมากที่สุดในโลกไปแล้ว จนกระทั่งคนกันเองของพรรคเพื่อไทยอย่างนายวรชัย เหมะ ยังพูดออกมาว่า “นายกฯ เอาแต่ลงพื้นที่ แต่ไม่มีผลงาน”

6) พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้สัมภาษณ์กับพีพีทีวี ว่า “เอกภาพแทบไม่เหลือในพรรคเพื่อไทย ที่คุณวรชัยพูด สังคมก็บอกว่าตรงกับความเป็นจริง คุณวรชัยคาแร็กเตอร์แบบนี้อยู่แล้ว เขาเป็นอดีต สส. ทำงานในพื้นที่ทั้งสมุทรปราการ ปทุมธานี นนทบุรี ชีวิตเขาสัมผัสประชาชนและมวลชนอย่างแท้จริง ถ้าตื่นเช้ามาเจอประชาชนบ่นด่าพรรคเพื่อไทย ก็ต้องคิด ทำไมเราโดนด่าทุกวัน”

อดีตเลขาฯ สมช. เสริมว่า ยิ่งเมื่อคนในสังคมเชื่อตามที่นายวรชัยเหน็บแนมว่า ลงพื้นที่ สั่งการเป็นล้าน แต่ไม่เกิดผลลัพธ์ ยิ่งสะท้อนถึงความไม่มีเอกภาพในพรรค การบริหารจัดการภายในพรรคสอบตก ทั้งที่ความเป็นมายิ่งใหญ่ ตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทยจนมาเพื่อไทย เรื่องการสื่อสารของพรรคเพื่อไทยเป็นเบอร์ 1 มาตลอด

“ตอนนี้มันมีช่องว่างระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายพื้นที่และฝ่ายมวลชน คุณวรชัยเป็นฝ่ายพื้นที่และมวลชน แปลว่ามีระยะห่างกับฝ่ายบริหาร เรื่องนี้มีปัญหาแน่นอน คนถามว่าทำไมไม่พูดกันข้างในพรรค แปลว่าคุณวรชัยไม่มีวุฒิภาวะหรอ เขารู้ แต่พูดข้างนอกก็เป็นคำตอบแล้วว่า ไม่รู้เสียงจะไปถึงข้างในยังไง ก็ปล่อยกลางอากาศเลย” พล.ท.ภราดรกล่าว

และบอกอีกว่า “ตอนนี้ประชาชนและฝ่ายอื่นเริ่มมองแล้วว่า สิ่งที่นายกฯ สั่งๆๆๆ ไม่ต้องนายกฯ ไปก็ได้ถ้าเทียบเป็นทหาร นายกองสั่งก็ได้ แต่นี่แม่ทัพดันลงมาสั่งเอง จนเกิดการกระทบความน่าเชื่อถือ เพราะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ข้าราชการประจำ ไม่มีใครขับเคลื่อนตามนายกฯ สั่งเลย”

“ที่คุณวรชัยพูดกับนายกฯ พูด สังคมเชื่อใครมากกว่ากัน นายกฯทำอะไรบ้าง เงินดิจิทัลที่ใกล้จะเสร็จก็ยังไม่มีคนเชื่อ คนไม่สนใจ สะท้อนว่าไม่มีเอกภาพ”

7) ผลการศึกษาความคิดเห็นของประชาชนโดยนิด้าโพล ล่าสุด ระบุว่า คะแนนความนิยมทางการเมืองรายไตรมาสขณะนี้ นายกฯ เศรษฐาอยู่ในอันดับที่ 3 ด้วยคะแนน 12.85% ลดลงมาจากไตรมาสแรกและไตรมาสสองของปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ 22.35% และ 17.75% ตามลำดับพูดง่ายๆ คือ คะแนนความนิยมของนายกฯ กำลังลดลงเฉลี่ย 5% ทุกๆ 3 เดือน ซึ่งเป็นสัญญาณที่น่ากลัวมาก สภาพแบบนี้ ต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญไม่สอย หลังทักษิณพ้นโทษ 22 สิงหาคม ทักษิณก็ต้องกดดันหรือสอยเศรษฐาลงมาเองเป็นแน่

8) ผศ.ดร.สุวิชา เป้าอารีย์ ผอ.ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล บอกว่า คะแนนความนิยมของผู้อยู่ในตำแหน่งนายกฯ ดิ่งลงเป็นเรื่องธรรมชาติ ถ้าเป็นรัฐบาลจะโดนหนัก ส่วนฝ่ายค้านซึ่งไม่ได้ทำหน้าที่บริหารย่อมไม่โดน แต่ปกติจะดิ่งกันเบาๆ ช้าๆ ไม่ต้องรีบดิ่งแบบนี้

“นายกฯ เศรษฐาช่วงหาเสียงคะแนนความนิยมประมาณ 12% คะแนนยังน้อยกว่าคุณแพทองธารชินวัตร พอเป็นนายกฯ คะแนนความนิยมขึ้นมา เหมือนมีออร่า แต่พอเป็นนายกฯ มาสักพัก มันเริ่มปักหัวลง 22% มา17% จนถึง 12% ลงเป็นสเต็ป ส่วนพรรคเพื่อไทยคะแนนความนิยมลดลงจาก 24% มา 22% เหลือ 16% กอดคอกันลงไป”

“หลังเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยมีคะแนนความนิยมสูงถึง 29% แต่หลังจัดตั้งรัฐบาลเหลือ 24% หายไป 5% เป็นคะแนนความโกรธที่พรรคเพื่อไทยข้ามขั้ว

จากนั้นในเดือน มี.ค. 2567 คะแนนเหลือ 22% ไม่ใช่เรื่องข้ามขั้วแล้ว แต่คราวนี้เป็นเรื่องนโยบายที่รับปากไว้แต่ยังไม่ทำหรือมาช้า และเมื่อเดือน มิ.ย. เหลือ 16-17% หายไป เพราะนโยบายยังไม่เห็นเป็นรูปร่าง”

“นโยบายทั้งหลายที่พรรคเพื่อไทยเคยพูด ทุกคนรออยู่ ตอนนี้เข้าเดือนกรกฎาคมแล้ว ยังไม่เห็นอะไรเลย อีกไม่กี่วันนายกฯ เศรษฐากับรัฐบาลจะอยู่ครบ 1 ปีแล้ว คะแนนเลยลงมาเรื่อยๆ” ผศ.ดร.สุวิชาบอก และเสริมอีกว่า คะแนนนิยมพรรคเพื่อไทยตอนนี้ต่ำกว่าฐานที่เพื่อไทยเคยเป็นโดยบอกว่า ตนเก็บคะแนนนิยมเพื่อไทยตั้งแต่หลังรัฐประหาร 2557 มาโดยตลอด พรรคเพื่อไทยจะอยู่ในกรอบ 20-25% ไม่เคยต่ำกว่า 20% แต่ตอนนี้ต่ำกว่านั้นแล้ว

9) ผศ.ดร.สุวิชา บอกกล่าวว่า รัฐบาลเพื่อไทยตอนนี้มีแต่ออกนโยบายใหม่ เช่น หวยเกษียณ ทั้งที่นโยบายที่ให้ไว้ตั้งแต่หาเสียงยังไม่ปรากฏเป็นรูปธรรม “กลายเป็นว่าเพื่อไทยมีแต่ออกนโยบายใหม่ ไม่อยากใช้คำว่า รายเดือนรายไตรมาส แต่สิ่งที่รอยังรอการปฏิบัติอยู่ ยังไม่ทำ”

ผอ.ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพลบอกว่า ต่อให้นำคะแนนความนิยมนายกฯ เศรษฐา (12.85%) มาบวกกับคะแนนของนางสาวแพทองธาร (4.85%) ยังได้เพียงประมาณ 17% เท่านั้น ขณะที่คะแนนของ นายพิธาลิ้มเจริญรัตน์ จากพรรคก้าวไกลอยู่ที่ 45.5%

“ถ้าจะมองว่า ฝ่ายค้านไม่ทำงานไม่มีอะไรผิดคิดแบบนี้ก็ได้ แต่ถ้ายังอยากเป็นรัฐบาลอีก พรรคเพื่อไทยต้องทำคะแนนขึ้นมา” ผศ.ดร.สุวิชากล่าว

10) ในขณะที่นายเศรษฐา “ทำคะแนน” ไม่ได้ พรรคเพื่อไทยในภาพรวม เมื่อมองจาก “รัฐมนตรีคนอื่นๆ” ก็ไม่มีผลงานเช่นกัน ยังไม่รวม “ความเสื่อม” อันเกิดจาก “นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร” ออกโรงมาจุ้นจ้านวุ่นวาย ในขณะที่ตัวเองควรอยู่ในคุก รับโทษ เคารพในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรง “อภัยลดโทษ” ให้ จาก จำคุก 8 ปี เหลือจำคุก 1 ปี แต่ไม่เคยยอมติดคุกเลย มาให้สัมภาษณ์ เข้ามาที่พรรค ทำตัวเป็น “นายใหญ่” เป็น “เทพเจ้า” คนที่เขารู้คิดเขาก็กระอักกระอ่วนใจ รังเกียจ รับไม่ได้ เพื่อไทยจึงมีภาพการถูกบงการจากนักโทษคดีทุจริต รัฐมนตรีและนายกฯ อยู่ในสภาพ “ลูกจ้าง/ขี้ข้า” ต้องนบนอบต่อ “นักโทษ” ลูกสาวซึ่งเป็นหัวหน้าพรรค คือ นางสาวแพทองธารชินวัตร ก็เป็นได้แค่ “ลูกแหง่/คุณหนู” อาศัยบารมีพ่อกดหัวคนอื่นอีกชั้นหนึ่ง นโยบายก็ไม่เคยทำได้สำเร็จสักนโยบาย คำถามคือ จะเอาคะแนนมาจากไหน และจะเอาเศรษฐาไว้ทำไม?

11) จังหวะที่นายเศรษฐา ทวีสิน อาจถูกสอยลงจากเก้าอี้นายกฯ ด้วยคดี แต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี นี่เอง ที่อาจเป็นโอกาส “สลัดทิ้งเศรษฐา” แล้วหาทาง
ไปใหม่ ของ “ผู้เป็นใหญ่ของพรรค”

12) และความที่พรรคเพื่อไทยไม่ได้เป็นรัฐบาลมานาน รัฐมนตรีหลายคนก็เข้าคุกไปเพราะคดีทุจริต ประพฤติมิชอบ ใช้อำนาจหาประโยชน์ หรือละเลยจนประเทศชาติเสียหาย พวกที่เหลือจึงอยู่แบบ “รักษาตัวรอดเป็นยอดดี” กับพวกรัฐมนตรีปรสิต ที่จะเปลี่ยนรัฐบาลกี่รอบ ก็เป็นรัฐมนตรีอยู่อย่างนั้น แค่เวียนกระทรวงไปไม่รู้ว่าไอ้พวกนี้มีดีอะไร หรือว่า “เงินดี”

13) ทีนี้ถ้าเศรษฐาตกเก้าอี้ แน่นอนว่าคณะรัฐมนตรีทุกคนก็พ้นไปด้วยโดยอัตโนมัติ ต้อง “ตั้งรัฐบาล” กันใหม่ คราวนี้ใครจะขึ้นมาเป็นนายกฯ การณ์ก็เข้ามาที่การวิเคราะห์ของนายไพศาล พืชมงคล กันล่ะ

14) ผมไม่เชื่อว่าทักษิณจะปล่อยให้โอกาสในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหลุดมือไป โดยเฉพาะไปเป็นของพรรคภูมิใจไทย ในขณะที่พรรคก้าวไกลก็กำลังสุ่มเสี่ยงต่อการถูกยุบพรรค ซึ่งหากถูกยุบ ก็ไม่รู้ว่า สส. ทั้งหมดจะย้ายตามกันไปอยู่พรรคใหม่ครบถ้วนทั้ง 100% หรือไม่ คงมีการ “ช้อปปิ้ง สส.” กันอย่างมโหฬาร เพื่อดึงมาเติมในพรรคของตน และคนอย่างทักษิณ ซึ่งผ่านประสบการณ์การดึงตัว การควบรวมพรรคมานักต่อนักแล้ว มีหรือที่จะไม่สนใจจังหวะนั้น พรรคการเมืองที่มีมือ สส. มากเป็นสามลำดับแรก ก็จะวนเวียนอยู่ในพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกลที่มีพรรคชื่อใหม่ตั้งรออยู่ และพรรคภูมิใจไทย

15) พรรคก้าวไกล ไม่ว่าจะถูกยุบหรือไม่ถูกยุบก็ไม่สามารถรวบรวมเสียงได้มากพอที่จะขึ้นมาเป็นรัฐบาลแทนพรรคเพื่อไทย เช่นเดียวกับพรรคภูมิใจไทย ดังนั้น อย่างไรเสีย เก้าอี้นายกฯ ก็จะยังตกเป็นของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเหลือแคนดิเดต 2 คน คือ นางสาวแพทองธารชินวัตร กับนายชัยเกษม นิติสิริ ซึ่งหากต้องเลือก ทักษิณคงเลือกให้ลูกสาวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีมากกว่าเลือกนายชัยเกษมอยู่แล้ว

16) อุ๊งอิ๊งจะดีกว่าเศรษฐาไหม ในแง่ความเป็นอิสระจากทักษิณ คงจะไม่ แต่ในแง่ความเป็นผู้นำ คนในพรรคเพื่อไทยยืนเอามือกุมไข่ ค้อมหัวลง ให้คุณหนูอุ๊งอิ๊งมานานแล้วผิดจากการปฏิบัติต่อนายเศรษฐาที่คนในพรรคไม่เคยเห็นหัว เพราะรู้ว่าไม่ใช่ตัวจริง

17) สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อถึงจุดนั้น พรรคเพื่อไทยจะฟื้นฟูคะแนนนิยมของตัวเองจากอะไร จากอุ๊งอิ๊งที่คนมองว่าเป็นแค่ “ทายาทอสูร” จากนโยบายแจกเงิน 10,000 บาท จากที่ทักษิณพ้นโทษแล้วมานั่งตำแหน่งประธานที่ปรึกษาพรรคอย่างนั้นหรือ

18) ทักษิณเป็นนักบริหารที่หลงตัวเอง ไม่เคยสร้างนักบริหารมืออาชีพไว้ทดแทน มีแต่ “บ่าวรองตีน” ที่เอาไว้ “ติดคุกแทน” พรรคเพื่อไทยจึงไม่มี “ดาวดวงใหม่” หรือ “หมู่ดาว” ให้เป็นที่คาดหวังของคน จนบัดนี้ พรรคเพื่อไทยจึงยังต้องอาศัยคะแนนนิยมและบารมีของทักษิณหากินอยู่ ซึ่งคำถามก็คือ คะแนนดังกล่าว จะมากพอให้รักษาความมั่นคงของการเป็นรัฐบาลในสมัยนี้ และชนะการเลือกตั้งในสมัยหน้าเพียงใด

19) และทุกอย่างจะถึงกาลวิบัติบรรลัย ถ้าทักษิณย่ามใจ ผลักดันให้พรรคเพื่อไทยขับเคลื่อน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่รวมเอาคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เข้าไปด้วย อันเป็น “ประโยชน์โดยตรง” ของทักษิณ ซึ่งก็เป็นไปได้สูงมาก เพราะคนอย่างทักษิณ เคยเลือกบ้านเมือง เลือกนิติรัฐนิติธรรม มาก่อนประโยชน์ของตัวเองอย่างนั้นหรือ?

ถึงที่สุด “คำตอบของบ้านเมือง” ก็จะปรากฏโดยเฉพาะปรากฏแก่คนที่ “เอาทักษิณกลับเข้ามา”

ซึ่งน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งว่า ถึงจุดนั้น ศรัทธาของผู้คนและประเทศไทย จะอยู่ในสภาพสมบูรณ์หรือปรักหักพังลงไปแล้ว!!