สถานการณ์ทางการเมืองในสัปดาห์ที่สองของเดือนสิงหาคมนี้ กูรูในสภากาแฟมองว่าสาหัสสากรรจ์เข้าขั้น “กลียุค” เลยทีเดียว เหตุเพราะเริ่มต้นจากสถานการณ์ลอกคราบทางการเมือง “ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ” จะมีคำวินิจฉัยคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ร้องให้วินิจฉัย “พรรคก้าวไกล” มีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ทั้งยังปรากฏเข้าข่ายลักษณะกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อันเป็นเหตุแห่งการยุบพรรค ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2561 มาตรา 92 วรรคหนึ่ง (1), (2) ประกอบพ.ร.ป.พรรคการเมืองพ.ศ. 2560 มาตรา 92 วรรคสอง และมาตรา 94 วรรคสอง
ในขณะที่หัวหน้าพรรค, อดีตแกนนำพรรค, ผู้มีบารมีนอกพรรคดิ้นเร่าๆ กระทำทุกวิถีทางกดดันตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคณะแรกที่พิจารณาวินิจฉัย “คดีซุกหุ้น”ของ “นักโทษเด็ดขาดชายคดีทุจริตคอร์รัปชั่นโกงบ้านโกงเมืองฉ้อฉลเงินแผ่นดิน - ทักษิณ ชินวัตร”ที่กำลังขึ้นหม้อได้รับการสนับสนุนจากประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่คิดว่า “รวยแล้วไม่โกง” จนเกิด“วลีทองคำ - บกพร่องโดยสุจริต”
ถัดจากการวินิจฉัยยุบพรรคการเมือง “ก้าวไกล” ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันหลักของชาติ การเมืองลอกคราบก็เข้าสู่คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญกรณี 40 อดีตสมาชิกวุฒิสมาชิกร้องให้ตุลาการศ่าลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความเป็นนายกรัฐมนตรีของ “เศรษฐา ทวีสิน”ผิดมาตรฐานจริยธรรมทางการเมืองร้ายแรงกรณีแต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาล ทั้งที่รู้ว่าขาดคุณสมบัติตามมาตรา 160 (4) , (5) ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ.2560 ด้วยเอกสารชี้แจง 32 หน้าที่ผ่านการตรวจตราจาก “เนติบริกร อย่าง วิษณุ เครืองาม” เสียงออดอ้อนวิงวอน ออกอาการว่าไม่น่ารอดพายุหมุนทางการเมืองครั้งนี้
จะอ้างแต่งตั้งทนายถุงขนมเป็นเสนาบดีด้วยความสุจริตเป็นอาการ “บกพร่องโดยสุจริต”รีรัน
จะสำรอกสำรากกล่าวอ้างความไม่มีความรู้ด้านนิติศาสตร์ ไม่ได้แปลว่า “ไม่มีสามัญสำนึก”ด้วยก็ได้
ในวันที่ผึ้งแตกรังวันที่ฟ้าเปลี่ยนสี ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง จับจ้องอาการ “พรรคพลังประชารัฐ” กับวลีทองคำ “ใจบันดาลแรง” ความเปลี่ยนแปลง/อาการลอกคราบทางการเมืองย่อมเกิดขึ้นได้
จากความเอือมระอาของโหวตเตอร์กับสติปัญญาในการบริหารประเทศในการแก้ไขบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่เทียบเคียงกับปัญหาปากท้องประชาชนในช่วง “รัฐบาลรปภ.โง่ - ลุงตู่/พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีคนที่ 29ต่างกันราวฟ้ากับเหว, หน้ามือกับหลังมือ
หาก “พรรคพลังประชารัฐ” จะขยับตนเองจาก“นั่งร้าน” มาเป็น “แกนนำ”ในวันที่ “อุ๊งอิ๊ง - แพทองธารชินวัตร”ยังไม่พร้อม “ชิงสุกก่อนห่าม” และเมื่อ “สามารถ เจนชัยจิตรวนิช” รวบรวมเสียงผึ้งงานที่กระจัดกระจายจากอาการรังแตกสนับสนุนในสภาได้เกิน 250 เสียง ก็ไม่มีบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตราใดห้ามมิให้ “ลุงป้อม - พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ” อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 หลังการ “ปฏิวัติสยาม 2475” ได้
จับตา “ยุทธการศัตรูของศัตรูคือมิตร” แต่ใครเล่าคือ “ศัตรู” และใครเล่าที่เรียกว่า “มิตร”
จับสัญญาณ “ลุงป้อม-พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ” ถึงฝั่งฝันด้วยใจบันดาลแรง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี