พรุ่งนี้วันพุธที่ 7 สิงหาคม 2567 เป็นวันชี้ชะตาพรรคก้าวไกล..ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะสั่งยุบหรือไม่ยุบพรรค..ซึ่งถ้าหากใช้บรรทัดฐานจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567..ก็สามารถจะคาดเดาได้ว่า—พรรคก้าวไกลถูกยุบแน่
เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญถือว่าเป็นเด็ดขาด..มีผลผูกพันรัฐสภา, คณะรัฐมนตรี, ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ
เมื่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันกับองค์กรของรัฐ..คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ต้องปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 ที่ชี้ว่า..การกระทำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (ผู้ถูกร้องที่ 1) ขณะดำรงตำแหน่งหัวพรรคก้าวไกล และพรรคก้าวไกล (ผู้ถูกร้องที่ 2) ใช้เรื่องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นนโยบายหาเสียง..เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ-มาตรา 49 วรรคหนึ่ง
ดังนั้น กกต.ซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลการดำเนินงานของพรรคการเมืองตามกฎหมาย..จึงต้องยื่นคำร้องต้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้สั่งยุบพรรคก้าวไกล..พร้อมทั้งให้ศาลรัฐธรรมนูญเพิกถอนสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคจำนวน 10 คนเป็นเวลา 10 ปี..และห้ามไม่ให้ผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคที่ถูกเพิกถอนสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งไปจดทะเบียนพรรคการเมืองขึ้นใหม่..นับแต่วันที่ศาลฯมีคำสั่งยุบพรรค
ประการสำคัญก็เพราะ..พรรคก้าวไกลได้กระทำผิดโดยละเมิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ (พ.ศ.2560) มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติไว้ว่า..“บุคคลจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้”
โดยหลักการของมาตรา 49 วรรคหนึ่งดังกล่าว..ก็หาใช่ว่าเพิ่งจะมีการบัญญัติขึ้นมาในเวลาเมื่อไม่นานมานี้..หรือบัญญัติขึ้นมาบังคับใช้แก่พรรคก้าวไกลเป็นการเฉพาะเท่านั้น..หากแต่เป็นหลักการที่บัญญัติเป็นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญปี 2475 แก้ไขเพิ่มเติมปี 2495 มาตรา 35..และก็มีการบัญญัติในทำนองเดียวกันนี้ไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับต่อๆ มาทุกฉบับจนถึงปัจจุบัน
ทั้งนี้ ด้วยบทบัญญัติดังกล่าว..ก็เพื่อพิทักษ์ปกป้องการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข..จากภัยคุกคามอันเกิดจากการกระทำ..ที่เป็นการใช้สิทธิ-หรือเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ..ในลักษณะมุ่งหมายให้หลักการ..หรือคุณค่าทางรัฐธรรมนูญ..ที่รองรับการการดำรงอยู่ของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข..มิให้ล้มเลิกหรือสูญเสียไป
อีกประการหนึ่ง, มาตรา 49 วรรคหนึ่ง..ยังคุ้มครองมิให้มีการใช้สิทธิ หรือเสรีภาพที่จะส่งผล..เป็นการบั่นทอนทำลายหลักการพื้นฐานของรัฐธรรมนูญ..และสั่นคลอนคติรากฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตย..ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของไทยที่ดำรงอยู่ให้เสื่อมทราม..หรือสิ้นสลายไป..จึงบัญญัติให้มีกลไกปกป้องระบอบการปกครองจากการถูกบั่นทอน..บ่อนทำลาย..โดยใช้สิทธิเสรีภาพทางการเมืองที่เกินขอบเขตของบุคคลหรือพรรคการเมืองไว้
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 ระบุว่า..ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นบทบัญญัติที่กำหนดการกระทำอันเป็นความผิด..และกำหนดอัตราโทษแก่ผู้กระทำการหมิ่นประมาท..ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย..พระมหากษัตริย์..พระราชินี.. รัชทายาท..หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์..หากผู้ใดกระทำความผิดตามมาตราดังกล่าว..ต้องได้รับโทษทางอาญา..เพราะเหตุแห่งการกระทำนั้น..อันสอดคล้องกับการที่ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข.. โดยรัฐธรรมนูญบัญญัติให้พระมหากษัตริย์เป็นสถาบันหนึ่งในรัฐธรรมนูญนั้น
อีกทั้ง สถาบันพระมหากษัตริย์ยังเป็นสถาบันที่สืบเนื่องมาจากเหตุผลทางประวัติศาสตร์..โบราณราชประเพณี..นิติประเพณี ซึ่งนอกจากจะมีลักษณะเป็นสถาบันหลักของประเทศแล้ว..องค์พระมหากษัตริย์ยังทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะที่ผู้ใดจะละเมิดไม่ได้..จะกล่าวหา..หรือฟ้องร้องในทางใดๆ มิได้
สำคัญที่สุด, จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 ชี้ไว้ชัดเจนว่า..พระเกียรติของสถาบันพระมหากษัตริย์..เป็นการผดุงไว้ซึ่งเกียรติยศของประเทศ..และรักษาคุณลักษณะประการสำคัญของระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข..จึงมีความชอบธรรมที่ต้องมีกฎหมายคุ้มครองมิให้มีการละเมิดพระมหากษัตริย์ในฐานะที่ทรงเป็นพระประมุขของรัฐ และสถาบันหลักของประเทศ..ตามที่รัฐธรรมนูญให้การรับรองและคุ้มครองไว้
ด้วยเหตุดังนั้น ศาลรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยว่า..การกระทำและการเคลื่อนไหวของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล..เกี่ยวกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112..ที่จะแก้ไขโดยเสนอให้มาตรา 112 ออกจากลักษณะหนึ่งความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร..ซึ่งคุ้มครองทั้งความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร และเกียรติยศประมุขของรัฐ..เป็นความผิดที่ไม่มีความสำคัญ..และไม่ให้ถือเป็นความผิดที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศอีกต่อไปนั้น..ถือว่า มุ่งหมายที่จะแยกสถาบันพระมหากษัตริย์กับความเป็นชาติไทยออกจากกัน
ณ นาทีนี้ จึงเห็นความเคลื่อนไหวของ สส.พรรคก้าวไกล ตลอดจนผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล..เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะชี้ชะตาในวันพรุ่งนี้..เป็นการเคลื่อนไหวที่ออกอาการเหมือนกับ“สัตว์นรก”ที่กำลังจะถูกจับต้มในกระทะทองแดง..ถึงขนาดลากดึงต่างชาติเข้ามาแทรกแซงอำนาจอธิปไตยของไทย..จากการที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ วิ่งโร่ไปหาทูตจากประเทศอียูประจำประเทศไทย 18 ประเทศเมื่อไม่กี่วันก่อน
ที่น่าจะต้องประณามก็คือ 2 สว.พันธุ์ใหม่..คือ สว.นันทนา นันทวโรภาส..กับ..สว.อังคณา นีละไพจิตร ซึ่งควรจะมีวุฒิภาวะในฐานะวุฒิสมาชิก..แต่กลับออกมาบิดเบือนว่า..การยุบพรรคก้าวไกลนั้น..มิใช่เฉพาะเป็นข้อกังวลของคนไทยเท่านั้น..แต่เป็นข้อกังวลของนานาประเทศทั่วโลก
นานาทั่วโลกที่ 2 สว.พันธุ์ใหม่อ้างถึง ก็คือ..นักการทูตต่างชาติหน้าเดิมๆ..ที่นอกจากจะถือหางพรรคก้าวไกลแล้ว..ก็ยังเป็นกลุ่มนักการทูตชาวต่างชาติ..ที่คอยยุยงปลุกปั่นเยาวชน“ม็อบสามกีบ”ให้เป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันมาตลอด..ซึ่งทุกวันนี้เยาวชนคนหนุ่มสาวเหล่านั้นต้องติดคุกติดตะราง..และมีคดีท่วมหัวไปตามๆ กัน..หรือหลายรายมีคดีมาตรา 112 ติดตัวก็แอบพาหลบหนีไป“พักพิง-ลี้ภัย”เป็นพลเมืองชั้นสองอยู่ในประเทศที่สาม
สำคัญที่สุด ซึ่ง 2 สว.พันธุ์ใหม่จำต้องจำใส่กะโกลก ก็คือ..พรรคก้าวไกลจะถูกยุบหรือไม่ยุบนั้น..ล้วนอยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญไทย..ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศเรา..และในฐานะที่เป็นวุฒิสมาชิกของประเทศนี้..ต้องจำให้ขึ้นใจด้วยว่า..ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรที่มีเอกราช..มิได้เป็นเมืองขึ้นหรือเป็นอาณานิคมของประเทศใด
พรุ่งนี้รู้กัน-ว่าพรรคก้าวไกลจะถูกยุบหรือไม่..และก็อยากรู้ด้วยเหมือนกันว่า..หากพรรคก้าวไกลถูกยุบแล้ว..บรรดา“เปรตผีนรก”ชาวต่างชาติเหล่านี้..จะแทรกแซงอำนาจอธิปไตยของไทยต่อไปอย่างไร ?!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี