วันเสาร์ ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
.jpg)
.jpg)
นโยบายของรัฐบาลนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร จะดำเนินโครงการเติมเงินหมื่น ดิจิทัล วอลเล็ต หรือไม่?
นี่เป็นการตัดสินใจที่สำคัญ
เป็นโอกาสของประเทศชาติ ที่ได้รัฐบาลใหม่มาทบทวนแนวทางในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ
อย่าทำลายโอกาส โดยเอาอีโก้ของนักการเมืองอยู่เหนือผลประโยชน์ของประเทศชาติส่วนรวม
1. จะไม่มีช่วงเวลาฮันนีมูนสำหรับรัฐบาลนายกฯ อุ๊งอิ๊ง
ปัญหาใหญ่เฉพาะหน้า คือ ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหากำลังซื้อของประชาชนในเศรษฐกิจฐานราก
อย่างแรก จะต้องไม่สร้างประเด็นการเมืองมาเพิ่มเงื่อนไข สุมไฟความไม่วุ่นวายในบ้านเมืองขึ้นมาอีกซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ
ประการต่อมา ต้องเร่งเครื่องเดินหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ค้างคา โดยทำทันที เกิดผลลัพธ์ทันใด
ไม่ควรรอนโยบายดิจิทัล วอเลเล็ต ที่กว่าประชาชนจะได้รับเงินก็สิ้นปีโน่น (แถมมีเงื่อนไขยุบยับ)
2. คุณปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ระบุว่า โดยหลักแล้ว โครงการดิจิทัล วอลเล็ต ควรจะหยุดลง และไม่ต้องกลับไปถามความเห็นจากคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว หลังจากเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี
3. รัฐบาลควรใช้โอกาสนี้ ปรับเปลี่ยนการใช้เงินจากโครงการเติมเงินหมื่นที่เตรียมไว้ 4.5 แสนล้านบาท นำมาใช้โครงการอื่นๆ ที่รวดเร็วกว่า ทันทีทันใด แม่นยำ เข้าตรงเป้าและคุ้มค่ากว่า
แถมยังจะลดปริมาณเงินที่จะต้องใช้จริง
สามารถนำไปพัฒนาประเทศ สนับสนุนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจได้อีกหลายแสนล้านบาท
4. กระตุ้นเศรษฐกิจยังจำเป็น
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทรให้ความเห็นว่า เศรษฐกิจไทยยังต้องการการกระตุ้น แต่โจทย์ของรัฐบาลใหม่ คือ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจแบบใดจึงจะดีที่สุด คุ้มค่าที่สุด และปลอดภัยที่สุด
“ตอนนี้ ตัวเม็ดเงินอยู่ในงบประมาณปี 2568 ไปแล้ว หรือถูกจัดสรรอยู่ในส่วนของงบการกระตุ้นเศรษฐกิจไปแล้ว ดังนั้น ถึงรัฐบาลไม่ทำดิจิทัล วอลเล็ต ก็ยังมี Room ส่วนนี้ทำนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ
ตัวอย่างเช่น การแจกเงิน (Cash Transfer) เฉพาะกลุ่มเปราะบาง แล้วนำเงินที่เหลือไปปรับโครงสร้างเศรษฐกิจระยะกลางและยาวที่สร้าง GDP ได้ดีกว่า” -ดร.พิพัฒน์ กล่าว
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย มองว่า โครงการดิจิทัลวอลเล็ตยังมีความเสี่ยง เช่น ความเสี่ยงทางการคลัง ความเสี่ยงที่กฤษฎีกาเตือน และความเสี่ยงด้านงบประมาณ ในขณะที่มาตรการกระตุ้นที่รัฐบาลสามารถทำได้เลยโดยไม่มีความเสี่ยงมากนัก คือ มาตรการทางการคลังอย่างการแจกเงินให้กลุ่มคนเปราะบาง รวมถึงมาตรการกระตุ้นอื่นๆ ที่เคยใช้ในรัฐบาลก่อนหน้า เพื่อบรรเทาปัญหาค่าครองชีพ
“..เหตุผลที่มองว่าเศรษฐกิจไทยยังต้องการการกระตุ้นหรือนโยบายแจกเงินอยู่ เป็นผลมาจากเศรษฐกิจฟื้นตัวแบบไม่ทั่วถึง ขณะที่คนส่วนมากไม่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจรอบนี้มากเท่าไร ท่ามกลางปัญหาหนี้ครัวเรือนและปัญหาค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น การใช้มาตรการทางการคลังจึงอาจมีความจำเป็น เพื่อดูแลคนกลุ่มที่ยังไม่ฟื้นตัว แต่ต้องไม่ใช่มาตรการทางการคลังแบบหว่านแห แต่ต้องมุ่งหวังให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไหลจากระดับบนลงล่าง และให้เงินหมุนในระบบมากขึ้น” - ดร.อมรเทพกล่าว
5. โอกาสคิดใหม่ ทำใหม่
ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เคยทำหนังสือถึงสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ลงวันที่ 22 เมษายน 2567 เพื่อเสนอเป็นความเห็นประกอบการพิจารณาในครม.
ประเด็นสำคัญที่พึงนำกลับมาพิจารณาในโอกาสนี้ ได้แก่
“...ควรทำโครงการเติมเงินดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาทในขอบเขตที่ครอบคลุมเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการความช่วยเหลือเท่านั้น (targeted) เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระค่าครองชีพ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิผลคุ้มค่า และใช้งบประมาณลดลง
โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่รายได้ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่เช่น กลุ่มผู้มีรายได้น้อย หรือผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ15 ล้านคน ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที และใช้งบประมาณ 150,000 ล้านบาท เนื่องจากคนกลุ่มรายได้น้อยมีสัดส่วนการใช้จ่ายเพื่อบริโภคสูงกว่ากลุ่มรายได้อื่นและมักซื้อสินค้าที่ผลิตในประเทศมากกว่าสินค้านำเข้า และควรพิจารณาดำเนินโครงการแบบแบ่งเป็นระยะ (phasing) เพื่อลดผลกระทบต่อเสถียรภาพการคลังด้วย”
“...โครงการเติมเงินดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาทก่อให้เกิดภาระทางการคลังจำนวนมากในระยะยาว และหากไม่สามารถรักษาเสถียรภาพภาระหนี้ภาครัฐได้จะเพิ่มความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ เช่น เกณฑ์การประเมินของ Moody’s ได้กำหนดอัตราส่วนภาระดอกเบี้ยจ่ายต่อรายได้ของประเทศในกลุ่ม Baal (Rating ของไทยในปัจจุบัน) ไว้ว่าไม่ควรเกินร้อยละ 11
โดยโครงการเติมเงินดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท จะทำให้อัตราส่วนดังกล่าวมีแนวโน้มสูงกว่าเกณฑ์นี้ในปี 2568 ซึ่งหากไทยถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือจะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมภาครัฐและภาคเอกชนปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในภาพรวม”
“..การดำเนินโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่ใช้วงเงินงบประมาณมูลค่าสูงทำให้ความสามารถในการดำเนินนโยบายการคลังอื่นของรัฐบาลลดลง และมีความเสี่ยงที่จะมีงบประมาณไม่เพียงพอรองรับในภาวะฉุกเฉิน ซึ่งการเพิ่มวงเงินกู้ปีงบประมาณ 2568 จนเกือบเต็มกรอบที่กฎหมายกำหนด ทำให้เหลือวงเงินกู้ได้อีกราว 5,000 ล้านบาท เทียบกับวงเงินคงเหลือเฉลี่ยในปีก่อนๆ ที่มากกว่า 100,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ การจัดสรรวงเงินจากงบประมาณปี 2567 ทำให้งบกลางสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นลดลงจนอาจไม่เพียงพอรองรับกรณีฉุกเฉิน โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์การเมืองโลกที่มีความไม่แน่นอนสูงและภาวะภัยธรรมชาติที่มีความรุนแรงมากขึ้น”
“...รัฐบาลควรพิจารณาถึงความคุ้มค่าของการนำงบประมาณ 500,000 ล้านบาท ไปใช้ลงทุนในโครงการที่จะแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างและยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
ตัวอย่างการใช้งบประมาณที่ผ่านมา ได้แก่
โครงการพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ (ใช้วงเงินเฉลี่ย 3.8 ล้านบาทต่อตำแหน่ง) จะสามารถสร้างบุคลากรทางการแพทย์ได้กว่า 130,000 ตำแหน่ง
โครงการเรียนฟรี 15 ปี สำหรับนักเรียนทั่วประเทศ (83,000 ล้านบาทต่อปี) จะสามารถสนับสนุนได้นานถึง 6 ปี
โครงการรถไฟทางคู่ช่วงนครปฐม - ชุมพร (40,000 ล้านบาทต่อสาย) จะพัฒนาได้กว่า 10 สาย
โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (190,000 ล้านบาทต่อสาย) จะพัฒนาได้กว่า 2 สาย”
เห็นได้ว่า หากรัฐบาลนายกฯ อุ๊งอิ๊ง ปรับเปลี่ยนการใช้เงินจากโครงการเติมเงินหมื่นมูลค่ารวมกว่า 5 แสนล้านบาท ก็จะลดความเสี่ยงต่างๆ ไปเกือบหมด รวมถึงระบบการชำระเงินที่ยังไม่เรียบร้อย
แถมยังสามารถใช้นำเงินไปทำโครงการอื่นๆ ที่คุ้มค่าและเหมาะสมกว่าอีกด้วย
ที่สำคัญ ไม่ต้องเสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางจากเรื่องนี้อีกด้วย
สันติสุข มะโรงศรี

'อ.เจษฎ์'มาเอง! เปิด7ข้อเคลียร์ความเชื่อผิดๆปมดื่มนมไทย เปิดวาร์ปนมไทยที่เป็นนมโคแท้
'ปราชญ์ สามสี'ฟาด! 'พรรคส้ม' ใช้ 'สองมาตรฐาน' โจมตีกองทัพ แต่ปัดรับผิดคดีในพรรค
ผีตายยาก!เดอ ลิกต์ โขกทดเจ็บบุกแบ่งแต้มไก่
'กัน จอมพลัง' ควงลูกเมียเปิดใจน้ำตาซึม เผยความผิดพลาด เอาเวลาครอบครัวไปช่วยคนอื่น
'กัมพูชา'ขยับแรง! บุกทลาย2รังใหญ่แก๊งสแกมเมอร์ รวบผู้ต้องหากว่า600คนส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี