ทันทีที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ 1 เมื่อบ่ายวันที่ 4 กันยายน 2567 แล้ว โฉมหน้าของรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ก็ปรากฏต่อสาธารณชนที่ชัดเจน และทำให้สังคมไทยทั้งประเทศเห็นได้ว่าโครงสร้างของรัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลมือใหม่สมัครเล่น จึงเป็นเหตุให้คนบางกลุ่มบางพวกที่จับจ้องถล่มด่าว่าอย่างเดียวเอาไปถล่มกันอย่างมันปาก
ถึงขนาดชักชวนกันเดินขบวนขับไล่รัฐบาลในวันที่ 17 กันยายนนี้ และกำลังมีคำถามอยู่ในใจคนทั้งหลายว่าขบวนการที่ออกหน้าชักชวนประชาชนลงถนนคือ กปปส. คปท. และกองทัพธรรมนั้นจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นและความหวังให้แก่ประชาชนชาวไทยได้อย่างไรว่าจะไล่รัฐบาลได้สำเร็จ
หรือว่ามีเจตนาแอบแฝงที่จะสร้างชนวนการรัฐประหารครั้งใหม่ขึ้น ที่สำคัญคือประชาชนอยากจะรู้ว่าถ้าขับไล่รัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ออกไปแล้ว ประเทศไทยก็ต้องมีรัฐบาลอยู่ดี และถ้าไม่เกิดเหตุกรณีรัฐประหารขึ้นเสียก่อน รัฐบาลที่จะมีต่อมาก็จะต้องมีรัฐมนตรีตามที่ได้แถลงชื่อไว้กับ กกต. ไม่คนใดก็คนหนึ่งคือนายอนุทิน ชาญวีรกูลพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ นายพีระพันธุ์สาลีรัฐวิภาค หรือนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์หรือพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
ครั้นมาพิจารณาโครงสร้างหรือเสียง สส. ในสภาแล้วหากคนเหล่านี้จะเป็นนายกรัฐมนตรี ในขณะที่พรรคตัวเองมีเสียงไม่พอเป็นรัฐบาลนั้นก็ต้องจัดตั้งเป็นรัฐบาลผสม และพรรคการเมืองที่จะต้องมาผสมที่สำคัญคือพรรคเพื่อไทย ซึ่งมี สส. 141 เสียงหรือไม่ก็พรรคประชาชน ซึ่งมี สส. 143 เสียง
หากต้องผสมกับพรรคเพื่อไทยก็จะต่างอันใดกับรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ 1 หรือถ้าคิดจะไปผสมกับพรรคประชาชน พวกขบวนการเหล่านี้ก็เคยบดขยี้ว่าเป็นพรรคมารที่ชังชาติชังเจ้า จนหวาดกลัวพรรคประชาชนถึงขั้นขวัญหนีดีฝ่อ จนต้องเกิดดีลลับพิเศษยกบ้านเมืองให้กับพรรคเพื่อไทยและขัดขวางไม่ให้พรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาล
ดังนั้นการขับไล่รัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ 1หากไม่หวังผลให้มีการรัฐประหารแล้วผลที่เกิดขึ้นก็ไม่ต่างกับปัจจุบันนี้ คือต้องมีพรรคเพื่อไทยร่วมรัฐบาลอยู่ดี หรือไม่ก็ต้องไปร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาชน ซึ่งฝ่ายอนุรักษ์ไม่มีทางยอมรับได้ สถานการณ์จึงมาถึงจุดที่จะไล่รัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ก็ไม่ได้ จะปล่อยไว้ก็ไม่พอใจ จนกินไม่ได้นอนไม่หลับกระสับกระส่ายวุ่นวายทั้งวันทั้งคืนอยู่ในขณะนี้
ดังนั้นฝ่ายอนุรักษ์นิยมจะเอาอย่างไรก็ต้องคิดการณ์ให้แม่นยำเสียก่อน เพราะบ้านเมืองไม่ใช่ของเล่นของใคร และทุกวันนี้ประชาชนก็ตื่นรู้ถึงการโกหกหลอกลวงปลิ้นปล้อนถึงนักการเมืองที่หลอกประชาชนออกมาขับไล่รัฐบาลแล้วกลับไปสุมหัวแสวงหาประโยชน์กันอย่างหน้าตาเฉย ยกตัวอย่างการผสมพันธุ์ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยเฉพาะการที่แกนนำ กปปส. ที่เคยเชิญชวนประชาชนทั้งประเทศออกมาขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์แล้วกล่าวหาด่าว่าชนิดที่ไม่มีดีเลย มาถึงวันนี้กลับไปซุกใต้กระโปรงสุมหัวกันแสวงหาประโยชน์ร่วมกัน โดยมิได้คำนึงถึงสิ่งที่เคยบอกกับประชาชนแม้แต่น้อย แม้กระทั่งความละอายก็ไม่เหลือไว้เลยสักนิด
สภาพเช่นนี้จะให้ประชาชนเชื่อถือพวกหลอกลวงปลิ้นปล้อนเพื่อออกมาขับไล่รัฐบาลเสี่ยงพิการ เสี่ยงตาย เสี่ยงฉิบหายวายวอดอีกหรือ ซึ่งวันนี้ประชาชนทั่วประเทศตื่นรู้กันหมดแล้ว คงเหลือว่าจะทำอย่างไรกันต่อไปในสภาพที่เป็นอยู่
ก็ต้องยอมรับว่าบัดนี้มีรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ 1 เกิดขึ้นแล้ว และโครงสร้างรัฐบาลนี้ก็มีความชัดเจนว่าเป็นพวกมือใหม่หัดขับ หรือไม่ก็เป็นพวกที่เข้ามามีอำนาจเพราะคะแนนเสียงทางการเมืองหรือตอบแทนบุญคุณกันและกัน จึงทำให้การคำนึงถึงประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดินและการแก้ไขปัญหาของชาติต้องถูกวางไว้ข้างหลังก่อน
โบราณว่าอย่าคบเด็กสร้างบ้าน อย่าคบหัวล้านสร้างเมือง เหตุผลสำคัญก็เพราะว่าเด็กนั้นมีประสบการณ์น้อย ความรอบรู้ทั้งหลายอาจจะไม่พอที่จะแบกรับภารกิจอันยิ่งใหญ่ของบ้านเมือง ส่วนคนหัวล้านนั้นก็คือคนใจน้อยที่หวั่นไหวด้วยคำติชมต่างๆ จึงไม่สามารถตั้งตนอยู่ในธรรมที่จะตัดสินใจทำการสิ่งใดได้อย่างแม่นยำเฉียบขาดได้ จัดเป็นพวกดอกหญ้าพลิ้วตามกระแสลม ไม่สามารถเป็นหลักแก่บ้านเมืองได้ คนหัวล้านแบบนี้ก็มีอยู่ไม่น้อย
สภาพโครงสร้างรัฐบาลแบบนี้จะก้าวต่อไปนำพาประเทศชาติไปข้างหน้าได้หรือไม่ก็เป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีจะต้องสำเหนียกใคร่ครวญเอง แต่ความจริงหนึ่งซึ่งปฏิเสธไม่ได้ก็คือการบริหารราชการแผ่นดินนั้นยังมีกลไกที่จะเสริมจุดอ่อนสร้างจุดแข็งเพิ่มขึ้นได้
เพราะการบริหารราชการแผ่นดินไม่ได้มีเฉพาะคณะรัฐมนตรีเท่านั้น ยังมีตำแหน่งงานอื่นที่จะสนับสนุนส่งเสริมสร้างเสริมจุดอ่อนให้แข็งแกร่งขึ้นมาได้ และที่สำคัญคือเมื่อนายทักษิณ ชินวัตร เข้ามาว่าราชการหลังม่านแบบนี้ บรรดานวัตกรรมดั้งเดิมที่เคยคิดสร้างขึ้นมาเป็นครั้งแรกของประเทศไทยก็คงจะถูกนำมาปัดฝุ่นให้มีประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้น ที่สำคัญคือยังมีกลไกที่จะสร้างเสริมโครงสร้างคณะรัฐมนตรีให้แข็งแกร่งขึ้นได้ดังนี้คือ
หนึ่ง ตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษารัฐมนตรี ซึ่งมีจำนวนประมาณ 45 ตำแหน่ง เป็นช่องทางที่จะได้คนดีมีฝีมือมาเป็นกุนซือช่วยแนะนำประคับประคองการแผ่นดินให้ปลอดภัยและประสบความสำเร็จได้
สอง ตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เลขาธิการรองนายกรัฐมนตรี และเลขานุการรัฐมนตรี ซึ่งมีจำนวนประมาณ 45 ตำแหน่งเหมือนกัน เป็นกลไกการบริหารการทำงานของรัฐมนตรีที่สามารถเสริมให้การทำงานมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล และเป็นการบริหารแผนใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงได้
สาม ตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีหรือ Vice Minister ซึ่งจะเป็นผู้ช่วยของนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี และมีจำนวนประมาณ 45 ตำแหน่ง ที่สามารถจัดสรรหาคนดีมีฝีมือมีความสามารถสูงมาเสริมความแข็งแกร่งของรัฐมนตรีในจุดที่อ่อนหรือที่ขาดได้ ตำแหน่งนี้เป็นนวัตกรรมของนายทักษิณ ชินวัตร ที่จัดให้มีขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศไทยและประสบความสำเร็จอย่างดียิ่งตลอดมา
สี่ ตำแหน่งผู้แทนทางการค้า ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เป็นผู้แทนของนายกรัฐมนตรีในการเจรจาเรื่องการค้า การลงทุน การท่องเที่ยวกับต่างประเทศสำหรับประเทศที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งในสมัยรัฐบาลทักษิณก็ได้ตั้งตำแหน่งนี้ถึง 15 คน ช่วยทำมาค้าขายให้บังเกิดผลแก่ประเทศชาติมาแล้ว แต่ต่อมาได้ลดจำนวนลงเหลือ 5 ตำแหน่ง มาครั้งนี้ประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤตทางเศรษฐกิจ การส่งออก การท่องเที่ยว จึงเป็นไปได้ว่าจะตั้งตำแหน่งนี้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับรัฐบาล
ห้า ตำแหน่งกรรมการรัฐวิสาหกิจจำนวนประมาณ 60 แห่งรวมจำนวนประมาณ 600 คน ซึ่งรัฐบาลสามารถสรรหาคนดีมีฝีมือเข้ามาเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจเพื่อพัฒนารัฐวิสาหกิจให้เป็นกำลังของบ้านเมือง แทนที่จะเป็นแหล่งของการคอร์รัปชั่น
เหล่านี้คือโครงสร้างที่ถ้าหากรัฐบาลเข้าใจและใช้เป็นและใช้ให้มีประสิทธิภาพแล้วก็ย่อมทำให้การบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรีมีความแข็งแกร่ง สมบูรณ์มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่จะอำนวยประโยชน์สุขแก่ประเทศชาติและราษฎรได้
มาจ้ำจี้จ้ำไชพร่ำบ่นในเรื่องเหล่านี้จะไม่ดีกว่าคิดแต่จะขับไล่รัฐบาลดอกหรือ เพราะถ้าเขาไม่ทำก็ไม่ได้เสียหายอะไร แต่ถ้านำไปปฏิบัติก็ย่อมบังเกิดประโยชน์สุขแก่ประเทศชาติและราษฎร ถึงวันนั้นก็คงได้แอบอมยิ้มได้บ้าง ดีกว่าที่จะสุมไฟแห่งความโกรธหลงจนมองข้ามความเป็นจริงของบ้านเมืองที่เป็นอยู่ในขณะนี้แล้วจะกลายเป็นเหยื่อให้กับการรัฐประหารอีก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี