เมื่อครั้งที่สหภาพโซเวียตยอมถอนกองกำลังออกจากเยอรมันตะวันออก เพื่อเปิดโอกาสให้เกิดการรวมประเทศระหว่างเยอรมันตะวันตกกับเยอรมันตะวันออก โดยยังคงสถานะสมาชิกภาพของเยอรมนีไว้ในองค์การนาโต ฝ่ายตะวันตก (นำโดยสหรัฐอเมริกา) ก็ได้ให้คำมั่นสัญญาต่อฝ่ายสหภาพโซเวียตไว้ว่า หลังจากนี้จะไม่มีการขยายจำนวนสมาชิกองค์การนาโตใดๆ อีก หรือนัยหนึ่งคือจะมิให้องค์การนาโตมีการขยายตัวเพื่อเข้ามาประชิดต่อดินแดนของสหภาพโซเวียตในอนาคต
แต่เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายลง โดยมีสหพันธรัฐรัสเซียเข้ามาเป็นรัฐสืบสิทธิ์ต่อ กลับต้องประสบกับการบิดพลิ้วคำมั่นสัญญาของการไม่ขยายจำนวนประเทศสมาชิกขององค์การนาโตดังกล่าว โดยฝ่ายตะวันตกอ้างว่ารัสเซียมิใช่โซเวียต จนกระทั่งวันหนึ่งก็มีการประกาศยืนยันออกมาว่า ยูเครนซึ่งอยู่หน้าบ้านของรัสเซีย และจอร์เจียซึ่งอยู่หลังบ้านของรัสเซีย จะได้รับการพิจารณาให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การนาโต ซึ่งหากเกิดขึ้น ก็เท่ากับว่าองค์การนาโตจะเข้ามาประชิดพรมแดนของรัสเซียโดยตรง ซึ่งในสายตารัสเซียเห็นว่าเป็นการคุกคามความมั่นคงปลอดภัยของรัสเซียอย่างยิ่ง
และระหว่างนั้น ทางฝ่ายตะวันตกก็ยังเข้าไปแทรกแซงในกิจการการเมืองภายในของยูเครน ถึงขั้นการล้มล้างรัฐบาลยูเครนเดิมที่เป็นมิตรต่อรัสเซีย และจัดตั้งรัฐบาลยูเครนใหม่ ที่มีความเป็นชาตินิยมจัด และต่อต้านอิทธิพลของรัสเซีย ไปจนถึงการมีนโยบายและมาตรการที่ทำให้พลเมืองยูเครนเชื้อสายรัสเซียกลับกลายเป็นพลเมืองชั้นสอง ถูกลิดรอนและจำกัดในเรื่องสิทธิและเสรีภาพ เช่น การยุติการใช้ภาษารัสเซียเป็นภาษาที่สอง เป็นต้น ชาวยูเครนเชื้อสายรัสเซียจึงได้เริ่มลุกฮือต่อต้านการเลือกปฏิบัติดังกล่าว จนถึงขั้นการสู้รบระหว่างกองกำลังทหารยูเครน กับกองกำลังชาวยูเครนเชื้อสายรัสเซีย จนในที่สุด ฝ่ายรัสเซียก็อาศัยข้ออ้างที่จะบุกเข้ามาเพื่อปกป้องฝ่ายชนกลุ่มน้อยรัสเซียดังกล่าว ผลที่ตามมาก็คือ การที่ฝ่ายรัสเซียได้เข้ายึดครองเขตไครเมีย และเขตภาคตะวันออกของยูเครน (เป็นเนื้อที่ประมาณ 1/5 ของยูเครนทั้งหมด) เป็นสงครามยืดเยื้อมาจนกระทั่งทุกวันนี้
ล่าสุดฝ่ายสหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักรได้อนุญาตให้ฝ่ายยูเครนใช้จรวดขีปนาวุธวิสัยกลางในการโจมตีที่มั่นและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญๆ ลึกเข้าไปใน
ดินแดนรัสเซียได้ ซึ่งฝ่ายรัสเซียเองสามารถป้องกันตนเอง ด้วยการทำลายล้างจรวดขีปนาวุธดังกล่าวไปได้เกือบทั้งหมด อีกทั้งยังตอบโต้ด้วยการยิงจรวดขีปนาวุธวิสัยกลางที่มีความเร็วเป็น 10 เท่าของความเร็วของเสียง และมีความแม่นยำเป็นอย่างมาก เข้าทำลายล้างโรงงานอาวุธของยูเครนคืน เป็นการบ่งบอกว่า ระบบการป้องกันทางอากาศของยูเครน ที่เป็นเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และเยอรมนี นั้นเป็นของล้าสมัย ใช้การไม่ได้กับรัสเซีย
ทั้งนี้การที่ฝ่ายตะวันตกได้ดำเนินการคว่ำบาตรรัสเซียด้วยมาตรการต่างๆ ทางเศรษฐกิจและการเงินมาตั้งแต่สงครามยูเครน-รัสเซียเริ่ม ก็มิได้นำมาซึ่งความอ่อนเปลี้ยหรืออ่อนแอต่อฝ่ายรัสเซีย เพราะรัสเซียยังมีการเติบโตทางเศรษฐกิจและสามารถขยายการค้ากับจีน อิหร่าน และอินเดีย รวมทั้งการกระชับความร่วมมือทางทหารกับเกาหลีเหนือและอิหร่าน
ทั้งหมดนี้ก็บ่งบอกว่ารัสเซียก็พร้อมที่จะต่อกรแบบจริงจัง สมกับลักษณะพูดจริงทำจริง และฉะนั้นการที่ประธานาธิบดีปูติน ได้พูดเรื่องการเตรียมพร้อมทางด้านอาวุธนิวเคลียร์ฉบับกระเป๋า (Tactical) ว่าอาจจำเป็นต้องใช้ ถ้าฝ่ายรัสเซียเพลี่ยงพล้ำหรือถูกรุกคืบไปมาก ก็น่าจะไม่ใช่เรื่องการพูดเล่นๆ หรือโยนหินถามทาง
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า ฝ่ายรัสเซียพร้อมที่จะตอบโต้ศัตรูของตนชนิดไปให้ถึงที่สุด เหลือแค่ว่าฝ่ายตะวันตกต้องถามตัวเองได้แล้วว่า พร้อมจะไปแค่ไหนกับรัสเซีย?
ซึ่งถ้าฝ่ายตะวันตกยังคิดถึงอนาคตของมนุษยชาติทั้งโลก ที่ส่วนใหญ่ไม่ได้รับรู้อะไรด้วยกับความขัดแย้งเหล่านี้ ก็ควรได้สติ และรู้ว่า โต๊ะเจรจายังรออยู่
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี