วันพฤหัสบดี ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
สังคมไทยนั้นเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าแสนจะเป็นสังคมแห่งระบบราชการ (Bureaucracy) กล่าวคือ เมื่อมีการจัดตั้งองค์กรหนึ่งใดก็จะต้องมีกฎเกณฑ์ระเบียบกติกามากมาย และมีการระบุด้วยว่า ผู้ใดเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งรวมทั้งการลงโทษเมื่อมีการฝ่าฝืนโดยมีการเสียค่าปรับ หรือการเพิกถอนสิทธิ์ ซึ่งก็เป็นเรื่องพอเข้าใจได้ ซึ่งที่สุดแล้วก็มีการยอมรับเพื่อปฏิบัติกันอย่างกว้างขวาง
อย่างไรก็ตาม ยังมีบางเรื่องบางราว หรือบางองค์กรที่มิใช่หน่วยราชการ ที่ไม่ควรมีกฎเกณฑ์บังคับมากมาย เช่น พรรคการเมือง เพราะพรรคการเมืองมิได้เป็นหน่วยราชการ หากแต่เป็นของสมาชิกพรรค ซึ่งก็น่าจะขึ้นอยู่กับสมาชิกที่จะดูแลองค์กรของตัวเองอย่างไร โดยพรรคการเมืองแต่ละพรรคก็จะต้องมีความยืดหยุ่นและมีความเป็นตัวของตัวเองในการดำรงตนและดำเนินบทบาทให้กับสมาชิกและประชาชนโดยทั่วไป
ฉะนั้นการที่พระราชบัญญัติว่าด้วยพรรคการเมือง มีการระบุขั้นตอนเกี่ยวกับการจดทะเบียนพรรคการเมืองก็ดี หรือการที่พรรคการเมืองจะต้องหาสมาชิกให้ได้ถึงจำนวน 10,000 คน หรือการที่พรรคการเมืองจะต้องมีการจัดตั้งสาขาในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศไทยนั้น จัดได้ว่าเป็นการใช้ระบบราชการเข้ามาครอบงำพรรคการเมือง ทั้งๆ ที่พรรคการเมืองมิใช่หน่วยราชการแต่อย่างใดถือเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของพรรคการเมืองและสมาชิกในการบริหารจัดการตนเอง เพราะการที่พรรคการเมืองจะมีสมาชิกมากน้อยหรือจะได้ความนิยมชมชอบ หรือจะได้เสียงลงคะแนนเลือกตั้ง มิได้ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ริเริ่มก่อตั้งพรรค หรือขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ก่อตั้งพรรคและจำนวนสาขา หากแต่ขึ้นอยู่กับอุดมการณ์ นโยบาย และฝีไม้ลายมือของกลุ่มผู้บริหารหรือแกนนำเป็นสำคัญ หรือนัยหนึ่ง ถ้าพรรคการเมืองนั้นๆ ดีจริง เป็นที่น่าเชื่อถือ พรรคก็อยู่ได้ ไม่ต้องมาอยู่ภายใต้อาณัติของกฎเกณฑ์บังคับต่างๆ
อีกเรื่องหนึ่ง ทำไมประชาชนพลเมืองถึงจะต้องเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งจากพรรคการเมืองเท่านั้น ซึ่งเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพ หรือการลดโอกาสทางเลือกให้กับประชาชนพลเมือง ฉะนั้น การเลือกตั้งของไทยประชาชนพลเมืองก็ควรที่จะมีสิทธิเสรีภาพในการเลือกผู้สมัครอิสระ หรือผู้สมัครจากองค์กรภาคประชาชนหรือภาคประชาสังคม เช่น สหภาพแรงงาน หรือสภาวิชาชีพด้วย ซึ่งเป็นการเปิดกว้าง หรือเปิดเสรีให้กับสนามการเลือกตั้งมากยิ่งขึ้น
อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นที่ตะขิดตะขวงใจของสังคมไทยกันมาโดยตลอดก็คือ ระบบการสรรหา เช่น กรณีล่าสุดเกี่ยวกับตำแหน่งประธานคณะกรรมการกำกับธนาคารแห่งประเทศไทย ที่มีการจัดตั้งคณะกรรมการสรรหา ประกอบด้วยอดีตข้าราชการอาวุโสจากหลายกระทรวง ซึ่งก็มักจะเป็นการปฏิบัติทั่วไปที่บรรดาคณะกรรมการสรรหาต่างๆ มักจะมาจากแวดวงข้าราชการประจำ ซึ่งมักจะไม่มีใจให้กับการเป็นสังคมประชาธิปไตย หรือมีความนึกคิด และสภาวะจิตใจ (mindset) ที่เป็นข้าราชการมากกว่าเป็นนักเคลื่อนไหว หรือผู้ที่มีอุดมการณ์ทางการเมือง และในการนี้
ระบบระบอบคณะกรรมการสรรหาจึงมีความไม่เป็นประชาธิปไตยในตัว อีกทั้งกรรมการสรรหาอาจจะไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง เพราะมักจะคุ้นเคยกับระบบอำนาจมาตลอดชีวิต ฉะนั้นสังคมไทยต้องยกเลิกระบบการสรรหาด้วยวิธีการจัดตั้งคณะกรรมการ และจัดหาระบบการคัดกรอง และการแต่งตั้งผู้ที่จะเข้าดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ขององค์กรรัฐต่างๆ ใหม่ เช่น การเปิดให้ผู้สนใจทั้งหลายสมัครเข้าชิงตำแหน่งโน้นนี้ และให้การกำหนดคุณสมบัติมีความกว้าง เพื่ออำนวยให้ผู้มีประสบการณ์ชีวิตที่มีภูมิปัญญาธรรมชาติ ที่มิได้มีปริญญาบัตรก็สามารถเข้าสมัครได้ และในการนี้ก็อาจจะกำหนดให้มีการแสดงวิสัยทัศน์ความรู้ความสามารถด้วยวิธีการขีดเขียนเรียงความ การพูดจาต่อหน้าสาธารณชน และการอภิปรายหรือโต้วาที เป็นต้น โดยให้ผู้รับฟังบวกกับคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเป็นผู้ร่วมตัดสิน ทั้งนี้ก็เป็นการพัฒนาสิทธิเสรีภาพในการมีส่วนร่วมได้ยิ่งขึ้นไปโดยปริยาย
ทั้งหมดนี้ก็อยากจะเห็นพรรคการเมืองทั้งหลายได้เริ่มปลดแอกตนเองจากพ.ร.บ.พรรคการเมืองเสียก่อน และโดยเร็วที่สุด แล้วก็เปิดทางให้ผู้สมัครอิสระได้เข้าแข่งขันกับพรรคการเมืองด้วย
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com

เปิดชื่อบริษัทไทย! 'สหรัฐฯ'สั่งคว่ำบาตรเอี่ยวแก๊งสแกมเมอร์เมียนมา
ผู้สูงอายุหมู่บ้านระเบิดลงเก็บเสื้อผ้า ยารักษาโรคพร้อมอพยพ หลังยิงปะทะที่หนองหญ้าแก้ว
ด่วน!ตร.บุกรวบ'สันธนะ' คดีอุ้มรีดทรัพย์ คุมตัวส่ง สน.ทองหล่อ
เปิดภาพล่าสุด! 'เฉอ จื้อเจียง'เจ้าพ่อพนันออนไลน์ถูกส่งตัวกลับจีน
‘โฆษก กมธ.แก้รธน.’เผยมติเสียงข้างมากเคาะสูตร’20 จับ 1’เฟ้นหา’35 กมธ.ยกร่างฯ’

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี