วันศุกร์ ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายกันไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสงครามกลางเมืองสงครามระหว่างประเทศ สงครามโฆษณาชวนเชื่อป้ายร้ายป้ายสีกัน สงครามเศรษฐกิจการค้า รวมทั้งการคว่ำบาตร สงครามกับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และสงครามทางความเชื่อถือและการนับถือศาสนา ก็ยังมีจุดสงบกันอยู่บ้าง และยังมีการกระทำที่น่าจะเป็นแบบอย่างและเตือนสติให้แก่กันและกันได้
ในโลกกว้างยังมีประเทศเล็กๆ ประมาณ 20 กว่าประเทศ (จากประเทศทั้งหมดของโลกเกือบ 200 ประเทศ) ที่ไม่มีกองกำลังทหาร หรือเมื่อมีแล้วก็ได้ยุบหรือยกเลิกไป และหนึ่งในประเทศเหล่านั้นที่มีความโดดเด่นก็คือ ประเทศคอสตาริกา ที่ตั้งอยู่ในทวีปอเมริกากลาง คอสตาริกาเป็นประเทศเล็กๆ มีประชากรประมาณ 5 ล้านกว่าคน และตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ. 1948 (พ.ศ. 2491) ได้มีการประกาศยุบกองทัพและก็คงอยู่มาได้จนทุกวันนี้ และในรัฐธรรมนูญก็มีการระบุไว้ ห้ามมิให้มีกองทัพด้วย
เบื้องหลังที่นำไปสู่การยกเลิกกองทัพก็เพราะเหตุการณ์การขัดแย้งทางการเมือง ถึงขั้นสงครามกลางเมืองที่ฝ่ายกองทัพมีบทบาทสำคัญ และกลายเป็นเงาคุกคามการเมืองแบบพลเรือน อีกทั้งก็มีความเห็นพ้องต้องกันในสังคมว่า เมื่อไม่มีกองทัพแล้วก็ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายทางการทหาร ซึ่งเงินที่ประหยัดได้ก็สามารถนำไปใช้กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนพลเมือง โดยเฉพาะในเรื่องการรักษาพยาบาล การศึกษา ที่อยู่อาศัยและโครงสร้างพื้นฐาน และสาธารณูปโภคแทน
นอกจากนั้น คอสตาริกา แม้จะยังมีสถานะเป็นประเทศด้อยพัฒนา แต่เขาก็สามารถเสริมสร้างความเป็นสังคมประชาธิปไตยที่มีความเป็นปึกแผ่น มั่นคง และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและทัดเทียมกันระหว่างพลเมืองเชื้อสายสเปน กับพลเมืองท้องถิ่นดั้งเดิมได้
ล่าสุดคอสตาริกาก็ได้นำเอาระบบความยุติธรรมแบบเปิด (Open Justice)เข้ามาใช้ ที่หมายถึง การอำนวยให้ประชาชนพลเมืองสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร สาระเนื้อหาเกี่ยวกับคดีความต่างๆ ได้ไปจนถึงการเปิดเวทีให้ฝ่ายตุลาการข้องแวะโดยตรงกับประชาชนพลเมือง เพื่อเสริมสร้างความเป็นกันเอง เพื่อรับฟังประเด็นปัญหา และแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น เพื่อปรับปรุงกระบวนการยุติธรรม คงไว้ซึ่งความยุติธรรมความเสมอภาคทัดเทียม และการไม่เลือกปฏิบัติอย่างจริงจัง เป็นการลดช่องว่างและความเหินห่างแบบชาเย็นระหว่างฝ่ายผู้พิพากษาที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ กับประชาชนพลเมืองที่ต้องคดีความ ให้มีความเป็นกันเองไม่แข็งกระด้างน่าเกรงขาม แม้กระทั่งสถาปัตยกรรมของอาคารศาลก็จะมีการปรับรูปโฉมเพื่อให้ดูมีความเป็นกันเองเชื้อเชิญมากขึ้น เพราะจะเห็นได้ว่า บันไดที่ขึ้นสู่ศาลทั่วโลกก็มากขั้นน่าเกรงขาม หรือดูเป็นการคุกคามมากกว่าการต้อนรับอย่างอบอุ่น
คอสตาริกาเรียกได้ว่า “จิ๋วแต่แจ๋ว”ก็เพราะมีประธานาธิบดีคนหนึ่งที่มีวิสัยทัศน์มีความกล้าหาญ และมีขีดความสามารถในการสื่อสารต่อประชาชนพลเมือง ให้เห็นพ้องถึงประโยชน์ของการไม่มีกองทัพ และข้อเท็จจริงที่ว่า ต่อให้มีกองทัพ คอสตาริกาก็ไม่สามารถจะป้องกันตนเองได้ ฉะนั้น
ก็เป็นเรื่องที่จะดีกว่าที่จะฝากฝังความมั่นคงปลอดภัยไว้ให้กับองค์การสหประชาชาติ และองค์การร่วมมือระดับภูมิภาคอเมริกาต่างๆ
แบบอย่างของคอสตาริกาน่าจะเป็นเรื่องที่ประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ ควรจะได้นำมาพินิจพิจารณา เพราะสมเหตุสมผล และเป็นส่วนหนึ่งของการเสริมสร้างสันติภาพด้วยการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com

ปี69ศก.โตต่ำสุดรอบ5ปี “ส่งออก-ลงทุน”หดตัว-ท่องเที่ยวแผ่ว
ประณาม‘กัมพูชา’ ใช้พลเรือนบริสุทธิ์เป็นข้อต่อรอง ไม่ยอมปล่อยคนไทยกลับประเทศ
ปชป. ร่อนแถลงการณ์ ซัด พรรคส้ม ออกลูกงอแงหวังประโยชน์แก้ รธน. ยอมเอา ‘อธิปไตยชาติ’ มาเสี่ยง
ยุบสภา อนุทิน ยันแล้ว คืนอำนาจให้ประชาชน
คอนเฟิร์ม! นายกฯอนุทิน ยื่นยุบสภาแล้ว เผยต่อรอง ปชน. ชี้ สั่ง สว.ไม่ได้ ไม่โหวตตัดอำนาจ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี