วันอาทิตย์ ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ในปัจจุบันนี้ท่ามกลางความขัดแย้ง ความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกันระหว่างประเทศต่างๆ ส่งผลให้ประชาชนพลเมืองโลกต่างสับสนอลหม่าน และหวั่นวิตกในเรื่องการสงครามที่อาจจะมีการใช้อาวุธนิวเคลียร์ และความถดถอยของคุณภาพชีวิต แต่โลกก็ยังไม่สิ้นความหวังเสียทีเดียว เพราะก็ยังมีผู้นำโลกจัดหาช่องทางที่จะพูดจากัน และร่วมกันลดหย่อนความตึงเครียด
หนึ่งในประเทศนั้นก็คือ จีนคอมมิวนิสต์บนแผ่นดินใหญ่ที่อยากจะกลับขึ้นมานำพาโลกและหันเหโลกไปในทิศทางที่จะเป็นประโยชน์ต่อจีนและประชาคมโลกด้วย ซึ่งมีนัยว่าความเป็นไปในโลกที่นำพาโดยฝ่ายตะวันตก (The West)มาเป็นเวลาร่วมประมาณ 500 ปี โดยเฉพาะในช่วงประมาณ100 ปีที่ผ่านมานั้น มักเป็นเรื่องที่ไม่น่าพิสมัย และไม่ควรที่จะคงอยู่และแผ่ขยายอิทธิพลอีกต่อไป จำเป็นที่ประชาคมโลกจะต้องมีความคิดและทางเลือกใหม่ๆ และผู้นำพาประชาคมโลกให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยหลักความมั่งมีมั่งคั่งร่วมกัน (Common Prosperity) และในการนี้จีนก็เห็นว่าตัวเองนั้นมีความพร้อมที่จะเล่นบทบาทนำพา
เมื่อไม่นานมานี้ จีนได้ประสบความสำเร็จทางการทูตระดับโลกอย่างใหญ่หลวง เมื่อสามารถทำให้อิหร่านและซาอุดีอาระเบีย ที่แต่เดิมเป็นคู่อริแบบไม่เผาผีกัน ต่างหันหน้ากลับสู่โต๊ะเจรจา และเริ่มฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตกันได้ และล่าสุดไม่นานวันมานี้ จีนก็ได้ร่วมหารือกับรัสเซียและอิหร่าน เพื่อปูทางให้อิหร่านได้กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมโลก ซึ่งก่อนหน้านี้ประมาณ 10 ปีเศษๆ จีนก็ได้ริเริ่มและขับเคลื่อนการร่วมมือต่างๆ เช่น Shanghai Cooperation Organization (SCO) เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงและการอยู่ร่วมกันของประเทศในผืนแผ่นดินยูโร-เอเชีย การก่อตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย (Asia Infrastructure Investment Bank - AIIB) โครงการเส้นทางสายไหมทางบกและเส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ 21 (Belt And Road Initiative - BRI) ซึ่งจีนได้จัดงบประมาณเพื่อการให้ความร่วมมือช่วยเหลือประเทศต่างๆ ทั่วโลก ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่นทางถนน ทางรถไฟ กิจการท่าเรือ และกิจการท่าอากาศยาน เป็นต้น
จีนยังได้ร่วมกับรัสเซีย บราซิล อินเดีย และแอฟริกาใต้ ในการจัดตั้งองค์การร่วมมือเพื่อการพัฒนาและการปลดแอกจากการครอบงำของฝ่ายตะวันตกรวมทั้งญี่ปุ่น ในกรอบของกลุ่ม 7 ประเทศอุตสาหกรรมที่พัฒนาแล้ว - Group of Seven (G7) ซึ่งประกอบด้วยสหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น นอกจากนั้น จีนก็ยังถือเป็นประเทศที่มีบทบาทมากที่สุดในกองกำลังรักษาสันติภาพภายใต้ธงสีฟ้าขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่าจีนเอาจริงเอาจังกับการมีบทบาทในระดับโลก และมิได้เพียงแต่แค่พูดอย่างเดียว แต่ยังปฏิบัติด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ก็มีนัยว่า จีนกำลังทำตัวเป็นผู้นำของประเทศในกลุ่มโลกที่สามที่เป็นกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนา (The Third World หรือ The Global South) ในการใฝ่หาความสมดุลและความเสมอภาคกับฝ่ายตะวันตกดังกล่าว
จัดได้ว่าจีนมีหน้าตาเป็นผู้สร้างสรรค์ในเวทีโลกก็จริง แต่ทว่าที่บ้านของจีนนั้นก็ยังอยู่ภายใต้ระบอบการเมืองการปกครองที่เป็นเผด็จการ ประชาชนพลเมืองไม่มีสิทธิเสรีภาพทางการเมือง รวมทั้งการนับถือศาสนา อีกทั้งจีนก็ยังคุกคามสาธารณรัฐจีน หรือจีนเกาะไต้หวัน ที่เป็นสังคมประชาธิปไตยอย่างไม่ลดละ คู่ขนานไปกับการคุกคามบรรดาประเทศต่างๆ ที่มีข้อพิพาทกับจีนในเรื่องเขตอาณาในทะเลจีนตอนใต้ ด้วยการถมทะเล เกาะเล็กเกาะน้อย เพื่อแปลงสภาพให้เป็นฐานทัพ และการออกลาดตระเวนทั้งทางอากาศและทางน้ำในเชิงก้าวร้าวแล้วเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง อีกทั้งก็ปฏิเสธโดยสิ้นเชิงกับข้อตัดสินของศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ว่า จีนไม่มีหลักฐานใดๆ ที่ว่าได้ครอบครองในทะเลจีนตอนใต้มาก่อนอย่างสิ้นเชิง ทั้งที่จีนเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องสันติภาพและความมั่นคงของโลก
นอกจากนั้น จีนก็ได้เข้าไปครอบครอง และครอบงำเขตแดนฮ่องกง ให้สิ้นสุดความเป็นสังคมประชาธิปไตย ซึ่งไม่เป็นไปตามเงื่อนไขตกลงกันไว้ระหว่างจีนกับอังกฤษ (ก่อนมีการคืนเขตฮ่องกงจากอังกฤษกลับสู่จีน) และในขณะเดียวกัน จีนก็ได้ดำเนินการกดขี่ ครอบงำ ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ โดยเฉพาะในเรื่องการนับถือศาสนา และประเพณีปฏิบัติของชนกลุ่มน้อยอุยกูร์ในมณฑลซินเจียง ทั้งที่ประชาคมโลกก็ยังไม่ลืมเลือนที่จีนได้เข้าไปยึดครองประเทศทิเบต และเพียรพยายามมาโดยตลอดที่จะทำลายความเป็นอัตลักษณ์ของชาวทิเบต ซึ่งสวนทางกับหลักปฏิบัติสากลและหลักมนุษยธรรมใดๆ ทั้งสิ้น ความดังกล่าวจึงเป็นอีกหน้าหนึ่งของจีน
สรุปได้ว่า จีนในวันนี้เล่นบทบาทสองหน้า โดยหน้าหนึ่งคือ ผู้สร้างสรรค์โอบอ้อมอารีในเวทีโลก และอีกหน้าหนึ่งคือ การคุกคามบางประเทศรอบๆ บ้านดังกล่าวรวมทั้งอินเดีย และการกดขี่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนพลเมืองประมาณ 1,400 ล้านคน
จีนมีความจำเป็นที่จะมีหน้าเพียงหน้าเดียว เพื่อนำความยิ่งใหญ่กลับมา นั่นคือ การทำตนให้เป็นผู้ที่มีความสม่ำเสมอ ทั้งในเรื่องการปฏิบัติทั้งภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งจุดเริ่มต้นก็คือ การนำเอาอารยธรรมแต่อดีตมาปรับปรุง เพื่ออำนวยให้จีนหลุดพ้นออกจากลัทธิอำนาจนิยม ไปสู่ลัทธิของความดีงามเป็นที่ตั้ง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com

‘ทั่วไทย’ฝนกระหน่ำ อุตุฯเตือน‘7 จว.ภาคเหนือ’ตกหนัก ระวังน้ำท่วมฉับพลัน-น้ำป่าหลาก
‘คุณน้ำผึ้ง’เที่ยวเจาะลึก Unseen สามพันโบก
‘หนุ่ม-แท่ง’ พาทัวร์ ‘วัดสารนารถธรรมาราม’ สักการะคุณแม่บุญเรือน อร่อยกับอาหารทะเล จ.ระยอง
‘ลุค อิชิคาว่า’ นำทีมนักแสดง ‘Rock and Soul จังหวะร็อก ปาฏิหาริย์รัก’ เปิดคาแรกเตอร์ในจอ สู่ตัวจริงนอกจอ
‘มิตรรัก ทั่วไทย’ พาเที่ยวเมืองโอ่งมังกร จ.ราชบุรี

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี