มติแพทยสภาแง้มประตูนรกให้เทวดาซกมกตกสวรรค์
ตั้งแต่วันนี้ มีเวลาอีก 29 วัน นายทักษิณ ชินวัตร มีทางเลือกเพียงสองทาง 1.สู้คดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดไต่สวน ตามคำร้องนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ให้ศาลพิจารณาออกหมายขัง น.ช.ทักษิณที่ย้ายจากเรือนจำไปโรงพยาบาลโดยมิชอบ
2. หนีศาล ไม่ไปฟังการไต่สวน เหมือนที่เคยหนีนาน 17 ปี ก่อนหน้าศาลตัดสินคดีเมียซื้อดินรัชดา ที่สามีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับรอง หากมองจากแพทยสภา มีมติว่า ทักษิณ มิได้ป่วยวิกฤตจริง ซึ่งอาจตรงกับข้อกล่าวหา “ย้ายนักโทษจากเรือนจำไปโรงพยาบาลโดยมิชอบ”
ซึ่งข้อหาที่ว่านี้ จำเลย (นายทักษิณ) กรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ มั่นใจตลอดมาว่า ไม่มีพยานหลักฐานยืนยันว่า ทักษิณไม่ได้ป่วยจริง และนำตัวเขาเข้าคุกไม่ได้
แต่ผลการสอบสวนของแพทยสภา เหมือนฟ้าผ่าลงบนศูนย์กลาง แผนการร้าย ที่บิดเบือนความจริงหลอกคนไทย จึงทำให้เชื่อว่า จำเลยเลือกจะหนี เหมือนปี 2551 แตกต่างกันตรงที่ปี 2551 จำเลยขออนุญาตศาลไปชมกีฬาโอลิมปิกปักกิ่ง และสัญญาจะกลับมาทันศาลอ่านคำพิพากษา แต่คงมีพรายกระซิบล่วงหน้า ทักษิณเลยหนีศาลไม่ยอมกลับบ้านนาน 17 ปี และนี้คงเป็นบทเรียนสำคัญ ศาลฯจึงไม่อนุญาตให้จำเลยออกนอกประเทศ เขาจึงมีทางเลือกเดียวคือ หนี
แพทยสภาสอบสวนพบอะไร จึงทำให้นายใหญ่และสมุนบริวารอกสั่นขวัญแขวนถ้วนหน้า ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา อุปนายกแพทยสภา แถลงภายหลังการประชุมแพทยสภา โดยมีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการสอบสวนจริยธรรมทางวิชาชีพ แพทย์โรงพยาบาลราชทัณฑ์ และแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ เกี่ยวกับกรณีการรักษาตัวของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ
ที่ประชุมคณะกรรมการแพทยสภา มีมติลงโทษแพทย์ 3 ราย ดังนี้ ว่ากล่าวตักเตือนแพทย์ 1 ราย ประกอบวิชาชีพที่ไม่ได้มาตรฐานเกี่ยวกับการออกใบส่งตัว
พักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม 2 ราย กรณีให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความเป็นจริง
ศ.เกียรติคุณ ดร.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวอีกว่า การพักใช้ใบอนุญาต มาจากเรื่องการให้ข้อมูล หรือเอกสารทางการแพทย์ที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ถือเป็นความผิดที่รุนแรง “ด้วยข้อมูลหลักฐานทั้งหลายที่เราได้รับไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชัดเจนว่ามีภาวะวิกฤตตามที่มีการแถลงข่าว”
จึงเป็นไปได้ ศาลฯอาจเรียกข้อมูลจากแพทยสภาไปประกอบการพิจารณาว่า แพทย์กรมราชทัณฑ์และแพทย์โรงพยาบาลตำรวจสมรู้ร่วมคิดในการย้ายนักโทษจากเรือนจำไปโรงพยาบาลหรือไม่
ความเดิมคดีมีอยู่ว่า นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ขอให้ศาลพิจารณาออกหมายขังนายทักษิณที่ไม่ได้ติดคุกจริง เพราะมีขบวนการช่วยเหลือย้ายจากเรือนจำไปอยู่ รพ.โดยมิชอบ ศาลพิจารณาแล้วว่า นายชาญชัยมิใช่ผู้เสียหายในกรณีนี้ ศาลจึงตีตกคำร้องของนายชาญชัย อย่างไรก็ตาม ศาลแถลงต่อว่า “ความปรากฏต่อศาลว่า อาจมีการบังคับตามคำพิพากษาที่ไม่เป็นไปตามหมายจำคุก เมื่อคดีถึงที่สุดของศาลนี้ ศาลย่อมมีอำนาจไต่สวน และมีคำสั่งตามที่เห็นสมควร”
ศาลฯนัดไต่สวนวันที่ 13 มิถุนายน เวลา 09.30 น. ตามคำร้องขอให้ศาลฯ ดำเนินการไต่สวน และออกหมายจับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มาขังไว้ตามหมายศาลฯ เนื่องจากนายทักษิณ ไม่ได้ถูกจำคุกตามคำพิพากษา และถูกส่งตัวไปพักรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจโดยมิชอบ
มติแพทย์จึงเป็นพยานหลักฐานประกอบการไต่สวนได้ และศาลฯอาจขยายผลไปถึงผู้ร่วมกระทำความผิดในคดีนี้ ในเบื้องต้นก็มีอธิบดีและเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ แพทย์ รพ.ตำรวจและเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง ส่วนที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าจะเอาผิดกับรัฐบาลและรัฐมนตรีผู้กำกับดูแลกรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจได้หรือไม่
ต้องยอมรับความจริงว่า การแปลงร่างนักโทษชายกลายเป็น เทวดาชั้น 14 มีขึ้นในรัฐบาลรักษาการ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีนายวิษณุ เครืองาม รักษาการรองนายกฯควบ รมว.ยุติธรรม
นายทักษิณ ชินวัตร กลับถึงประเทศไทย วันที่ 22 สิงหาคม วันเดียวกันกับ ที่นายเศรษฐา ทวีสิน ได้รับเลือกจากสภาเป็นว่าที่นายกรัฐมนตรี มาถึงสนามบินนายทักษิณได้รับการต้อนรับแบบ VIP ถ่ายรูปหมู่กับครอบครัวยิ้มแย้มแจ่มใส ทักทายว่าที่รัฐมนตรีหลายคนที่ไปต้อนรับไม่มีท่าทีอิดโรยหรืออาการป่วยใดๆ
ออกจากสนามบิน บน.6 ขบวนรถหรูนำนักโทษหนีคุกไปศาลฯ เพื่อรับทราบโทษจำคุก เสร็จจากกระบวนการศาลขบวนรถหรูนำนักโทษหนีคดีไปเรือนจำพิเศษประมาณ 5 โมงเย็น
ประมาณหนึ่งทุ่มวันเดียวกัน นายวิษณุ เครืองาม เข้าพบทักษิณในเรือนจำพิเศษ ในฐานะรักษาการ รมต.ยุติธรรม นักโทษกับ รักษาการ รมต.ยุติธรรม หารือกันนานนับชั่วโมง และไม่นานหลังจากทั้งสองแยกจากกัน มีรายงานด่วนว่า นักโทษชายมีอาการกำเริบขั้นอันตรายต่อชีวิต เกินความสามารถของ รพ.ราชทัณฑ์รักษาได้ ต้องย้ายไป รพ.ตำรวจ ทันที
นักโทษชาย ที่อ้างว่า อาการวิกฤต ถูกนำขึ้นไปพักในห้องรับรอง VVIP ชั้น 14 รพ.ตำรวจทันที มิได้แวะที่ห้องฉุกเฉิน หรือ ห้องไอซียูแต่อย่างใด ซึ่งผิดไปจากการปฏิบัติต่อผู้ป่วยวิกฤติ
วันที่ 24 สิงหาคม นายวิษณุให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า น.ช.ทักษิณ สามารถถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษนิรโทษกรรมได้ทันที และสามวันหลังจากนั้น มีรายงานว่า หนังสือทูลเกล้าฯถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษนิรโทษกรรมถึงสำนักงานเลขาธิการราชวังแล้ว
วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระราชหัตถเลขาพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมน ตรี จากโทษจำคุก 8 ปี เหลือเพียง 1 ปี เนื่องจากเคยดำรงตำแหน่งนายกฯ ทำคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติ จงรักภักดี และมีอาการป่วย ยอมรับการกระทำผิดและสำนึกในความผิด เนื้อหาในราชกิจจานุเบกษา ประกาศ ณ วันที่ 1 กันยายน 2566 โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ดังนั้น หากศาลไต่สวนสวนว่า ผู้ใดมีส่วนเกี่ยวข้องการย้ายนักโทษจากเรือนจำไปโรงพยาบาลโดยมิชอบ ก็ต้องเริ่มจากรัฐบาลรักษาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายวิษณุ เครืองาม รักษาการ รมต. ยุติธรรมที่ดูเหมือนว่า เกี่ยวข้องทุกขั้นตอน และเป็นห่วงเป็นใยนักโทษชายมากกว่าใคร
ส่วนรัฐบาล นายเศรษฐา เข้าทำเนียบรัฐบาลเป็นทางการ วันที่ 11 กันยายน 3 อาทิตย์หลังจากนายทักษิณพักอยู่ชั้น 14 ที่ชาวบ้านให้สมญานามนักโทษเทวดา แล้วก็ไม่ได้สอบถามว่า นักโทษอยู่ใน รพ.เป็นเดือน ต้องกลับเข้าคุกไหม เช่นเดียว กับ น.ส.แพทองธารซึ่งได้เป็นนายกรัฐมนตรีหลังจากที่บิดาใส่ปลอกคออยู่ที่บ้านแล้ว เธอยืนยันว่าบิดามีอาป่วยถึงขั้นผ่าตัดและรักษาตัวใน รพ.ตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ทุกประการ
จึงอนุมานว่าการไต่สวนว่า ใครมีส่วนทำความผิดบ้างต้องใช้เวลานาน แต่สำหรับจำเลยคือนายทักษิณ กูรูกฎหมายหลายท่านฟันธงว่า ศาลฯมีอำนาจออกหมายขังสั่งให้กลับเข้าคุกได้ในวันที่ 13 มิถุนายน
29 วัน จากนี้ทักษิณ จึงมีทางเลือกสองทาง 1.สู้คดี 2. หนี พิเคราะห์จากนิสัยถาวรของ สทร.ขอฟันธงว่าเขาจะเลือกหนีมากกว่าสู้คดีในศาล
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี