ชายแดน“ไทย-กัมพูชา”อึมครึมตึงเครียด ผู้นำไทยยังเอ้อระเหยลอยชาย ขณะที่ผู้นำกัมพูชาทั้งพ่อและลูก ออกข่าวไม่เว้นวัน และดำเนินยุทธศาสตร์เชิงรุก จะเอาดินแดนไทยให้ได้
ส่วนสองพ่อลูกไทยนั้น ใครก็รู้ว่าเป็นไทยแต่หัวใจเขมร เพราะผู้เป็นพ่อคือ“ทักษิณ ชินวัตร” ประการหนึ่ง นอกจากจะมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับ“ฮุนเซน”ผู้ทรงอำนาจแห่งกัมพูชา ที่จ้องจะโกยเงินจากแหล่งปิโตรเลียมมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านบาท ตรงบริเวณเกาะกูด จังหวัดตราด แบบ“ไทยครึ่งหนึ่งเขมรครึ่งหนึ่ง”
อีกประการหนึ่ง “ทักษิณ ชินวัตร”ก็ยังต้องพึ่งพาฝ่ายเขมรตลอด ซึ่งใครก็รู้ว่าผู้กระทำความผิดอันเป็นมวลชนคนเสื้อแดง ตลอดจนผู้มีความผิดเกี่ยวกับคดีคอร์รัปชัน ที่เป็น“ทาส-บริวาร”ของ“ทักษิณ” ล้วนต้องอาศัยดินแดนกัมพูชาเป็นที่“หลบนี” หรือเป็นทางผ่านไปสู่ประเทศที่สาม
กรณีของ“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นักโทษคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ก็ใช้ช่องทางธรรมชาติด้านชายแดน“ไทย-กัมพูชา” หลบหนีออกจากประเทศไทยเมื่อปลายเดือนสิงหาคม ปี 2560 ไปเขมร แล้วถือพาสปอร์ตกัมพูชาก่อนจะบินไปสิงคโปร์ จากนั้น“ทักษิณ ชินวัตร”ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นนักโทษหนีคดีทุจริตโกงบ้านกินเมือง จึงได้ส่งเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวมารับน้องสาวไปอยู่ที่ดูไบด้วยกัน
ด้วยความสัมพันธ์ดังกล่าวอันแนบแน่นของ“ทักษิณ ชินวัตร” ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงของประเทศนี้ กับ“ฮุนเซน”ผู้ทรงอำนาจแห่งกัมพูชา และเป็นบิดาของ“ฮุนมาเนต”นายกรัฐมนตรีกัมพูชา อดีตนักเรียนนายร้อยเวสต์พอยต์ รวมทั้งนักศึกษาปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก(NYU) และปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยบริสตอล (University ofBristol) ประเทศสหรัฐอเมริกา, จึงทำให้ประเทศไทยต้องกลายเป็น“ไก่รองบ่อน”เขมร
ดังจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะเป็น“แพทองโพย”ในฐานะนายกรัฐมนตรี รวมทั้ง“ภูมิธรรม เวชยชัย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ“มาริตเสงี่ยมพงษ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ต้องตกอยู่ในสภาพเหมือน“เต่า”หดหัวอยู่ในกระดองไปด้วย และคล้ายสำนวนไทยที่ว่า“นายว่าขี้ข้าพลอย” ประเภท“คุณพ่อ” หรือ“นายใหญ่”ว่าอย่างไร ก็ต้องว่าตามนั้น
ขณะที่นักการเมืองไทย ก็มัวแต่สาละวนวุ่นวายอยู่กับเรื่องของตนเอง เกี่ยวกับอำนาจและผลประโยชน์ ซึ่งเวลานี้วิ่งกันให้ฝุ่นตลบ เพื่อย้ายพรรคเปลี่ยนคอก อันเป็นสัญญาณว่า อีกไม่นานคงมีการยุบสภาฯและเลือกตั้งกันใหม่ จึงต้องรีบหาที่อยู่ ที่สามารถต่อรองแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ในทางการเมืองกันได้
และล่าสุดเขมรไปไกลถึงขนาดว่า เมื่อวันที่ 2 มิถุนายนเมื่อวานนี้ “ฮุน เซน”ในฐานะประธานวุฒิสภา และอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก “Samdech Hun Sen of Cambodia” จากการอ้างอิงของสำนักข่าวต่างประเทศ รายงานความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเหตุขัดแย้ง“ไทย-กัมพูชา” ที่ปะทุมาตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคมเดือนที่แล้วว่า สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และวุฒิสภา มีมติเห็นชอบด้วยคะแนนเสียง 182 เสียง ต่อแผนการดำเนินการของ “ฮุนมาเนต” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในการยื่นข้อพิพาทชายแดนระหว่างกัมพูชากับไทย ต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ“ศาลโลก”(ICJ) พร้อมทั้งกล่าวว่า บันทึกความเข้าใจ (MOU43) ที่ทั้งสองประเทศลงนามร่วมกันเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาเรื่องเขตแดนเมื่อปี 2543 นั้น ใช้ไม่ได้อีกต่อไป เพราะผ่านมาแล้ว 25 ปี แต่กัมพูชาและไทยยังไม่สามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังเกิดการปะทะกันเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา เป็นเหตุให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย
“ฮุนเซน”ยังกล่าวด้วยว่า หากไทยยังคงปฏิเสธและหลีกเลี่ยงการขึ้นศาล เท่ากับเป็นการสะท้อนชัดเจนว่า ฝ่ายไทยมีเจตนาซ่อนเร้น และว่า“ถ้าบริสุทธิ์ใจทำไมต้องกลัวการขึ้นศาล เพราะหากเราไม่ยอมให้ศาลตัดสิน ปัญหานี้ก็จะเหมือนกับฉนวนกาซาที่ไม่มีวันจบสิ้น การต่อสู้เล็กๆ น้อยๆ หรือใหญ่ๆ จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
การเคลื่อนไหวดังกล่าวของกัมพูชา จึงพูดได้ว่า เขมรไปไกลและไปเร็วแบบก้าวกระโดด แต่เป็นไปตามยุทธศาสตร์ที่ได้มีการเตรียมการและวางแผนไว้แล้วเป็นอย่างดี ขณะที่ประเทศไทยด้วยผลประโยชน์ทับซ้อนของ“ทักษิณชินวัตร” ภาพที่เห็น ก็มีแต่แม่ทัพนายกองและกำลังพลของกองทัพไทยเท่านั้น ที่ลุกขึ้นมาพิทักษ์ปกป้องอธิปไตยของประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยก็ยังทำให้ประชาชนคนไทยรู้สึกอบอุ่นใจ มากกว่าความไว้วางใจที่มีต่อรัฐบาลชุดนี้
การเตรียมการที่จะยึดดินแดนไทย โดยอาศัยศาลโลกของเขมรนั้น สองพ่อลูกแห่ง“ตระกูลฮุน”ได้ใช้เงื่อนไขที่เป็นผลต่อเนื่องมาจากการปะทะ ระหว่างทหารไทยกับเขมร ที่บริเวณ“ช่องบก” อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมปลายเดือนที่ผ่านมา โดยพื้นที่ปะทะซึ่งทำให้กำลังพลของเขมรเสียชีวิตไป 1 นาย และบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของ“สามเหลี่ยมมรกต” (Emerald Triangle) รอยต่อชายแดน 3 ประเทศ คือ “ไทย-ลาว-กัมพูชา” ที่ครอบคลุมพื้นที่ 12 ตารางกิโลเมตร
ทั้งนี้ ฝ่ายเขมรโดย“ฮุนเซน” เปิดเผยให้เห็นชัดเจนมาตั้งแต่วันแรกหลังจากมีการปะทะ ด้วยการโพสต์เฟซบุ๊กในตอนดึกคืนวันนั้นเป็นภาษาเขมร และภาษาอังกฤษ แปลความได้ว่า“ไม่อยากเห็นการสู้รบเกิดขึ้น แต่สนับสนุนการตัดสินใจของรัฐบาล ในการส่งทหารและอาวุธหนักไปที่ชายแดน เพื่อเตรียมพร้อมป้องกันตัวเองในกรณีที่เกิดการรุกรานเพิ่มเติม”
“ฮุน เซน”พูดอย่างนั้น ก็เท่ากับว่าพร้อมรบ และออกตัวเพื่อปกป้องตนเองให้เป็นฝ่ายถูกกระทำในฐานะ“ผู้ถูกรุกราน” และจากนั้นในวันที่ 30 พฤษภาคม หลังมีการเจรระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา “ฮุนเซน”ก็ได้โพสต์ในเฟซบุ๊กตามมาอีก โดยยืนยันจะไม่ถอนทหารออกจากพื้นที่“สามเหลี่ยมมรกต” เนื่องจากอ้างว่า เป็นดินแดนของกัมพูชา พร้อมทั้งยังท้าทายประเทศไทย ให้ไปตัดสินความถูกต้องกันในศาลโลก
นี้จึงเป็นที่มาของการที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และวุฒิสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา มีมติให้“ฮุน มาเนต”ดำเนินการต่อ ซึ่ง“ฮุนมาเนต”ได้แถลงต่อที่ประชุมก่อนจะมีมติเห็นชอบว่า “ขณะที่รัฐบาลกัมพูชาและไทย ได้พยายามป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งบานปลาย และรักษาสัมพันธภาพที่ดีบริเวณชายแดน แต่ความตึงเครียดก็ยังไม่คลี่คลาย ในทางตรงกันข้าม กลุ่มหัวรุนแรงยังคงปลุกปั่นให้เกิดปัญหา”
“ฮุนมาเนต”ซึ่งหาข้ออ้างโยนไปที่เสียงคัดค้านของประชาชนทั้งสองประเทศว่าเป็น“กลุ่มหัวรุนแรง” ได้กล่าวสรุปต่อที่ประชุมฝ่ายนิติบัญญัติของกัมพูชาว่า “เพื่อขจัดความคลุมเครือ กัมพูชาจะเดินหน้านำปัญหานี้ขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)ต่อไป แม้ฝ่ายไทยจะไม่เห็นด้วยก็ตาม เพื่อยุติ และทำให้ปัญหานี้หมดสิ้นไปอย่างถาวร และเพื่อไม่ให้เกิดความคลุมเครือใดๆ โดยเฉพาะการยุยงปลุกปั่นของกลุ่มหัวรุนแรงเพียงหยิบมือใน 2 ประเทศ ซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งทางอาวุธและการเผชิญหน้า”
ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ก็ต้องรอดูท่าทีรัฐบาลไทยที่มีผู้ชักใยเป็น“คนไทยหัวใจเขมร”ว่า ประเทศไทยที่ปัจจุบันนี้ไม่ได้ยอมรับเขตอำนาจของศาลโลกจะยินยอมเป็นคู่ความกับเขมรหรือไม่ ซึ่งถ้าฝ่ายไทยไม่ยอม เขมรก็ไม่สามารถนำข้อพิพาท ที่เขมรอ้างเรื่อง“ความคลุมเครือ” ขึ้นสู่ศาลโลกได้ เพราะการจะนำคดีใดคดีหนึ่งเข้าสู่การพิจารณาของศาลโลก จะต้องได้รับความยินยอมจากทั้งสองฝ่าย
บรรรทัดนี้ก็ต้องบอกว่า เราได้เห็นท่าทีของสองพ่อลูกเขมรอย่างหมดเปลือกแล้ว ว่าคิดอย่างไรกับประเทศไทย จากนี้ไปก็ต้องดูสองพ่อลูกของไทยว่า คิดเห็นและมีท่าทีอย่างไรกับเขมร
สำคัญที่สุด ผลประโยชน์และอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนของชาติไทย ย่อมเหนือกว่าผลประโยชน์ของ“ตระกูลชินวัตร” !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี