นายสมศักดิ์ เทพสุทิน วีโต้มติแพทยสภา ที่ลงโทษแพทย์ที่เกี่ยวกับการไปอยู่ชั้น 14 ของนายทักษิณ ชินวัตร ฝ่าฝืนมาตรฐานจรรยาบรรณวิชาชีพ
ขึ้นอยู่กับแพทยสภา จะกำหนดจุดยืนอย่างไร ในการประชุม 12 มิ.ย.นี้
1. เครือข่ายวิชาชีพแพทย์มากมาย แสดงจุดยืนให้กำลังใจ สนับสนุนมติแพทยสภา
และส่งกำลังให้ยืนยันมติเดิม เพื่อรักษาไว้ซึ่งมาตรฐานการกำกับตรวจสอบวิชาชีพแพทย์ มิให้ถูกลบล้างด้วยความเห็นของนักการเมืองที่มีผลประโยชน์การเมืองแอบแฝง
2. เครือข่ายภาคประชาชนที่มิใช่แพทย์ ก็แสดงท่าทีหลายองค์กร เช่น สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) ซึ่งเป็นองค์กรของขบวนการสหภาพแรงงาน มีองค์กรสมาชิกที่เป็นสหภาพแรงงานทั้งที่เป็นรัฐวิสาหกิจ เอกชน ลูกจ้างภาครัฐ แรงงานนอกระบบ แรงงานกลุ่มเสี่ยง
ล่าสุด ออกแถลงการณ์สนับสนุนแพทยสภา เนื้อหาบางส่วน ระบุว่า
“...มีบุคคลซึ่งเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่กระทำความผิดในคดีทุจริต คอร์รัปชั่น และได้หลบหนีคดีไปยังต่างประเทศ
และเมื่อเดินทางกลับมาประเทศไทย เมื่อประมาณเดือนสิงหาคม ๒๕๖๖ ได้ถูกจับกุมดำเนินคดี ต่อมาศาลมีคำพิพากษาให้จำคุก
แต่กลับกลายเป็นว่า แทนที่บุคคลดังกล่าวจะเคารพในคำตัดสินของกระบวนการยุติธรรม กลับใช้เล่ห์เพทุบายทุกด้านโดยการสนับสนุนของบุคคลบางคนที่มีอำนาจในรัฐบาล
ทั้งนี้ ก็เพื่อให้ตนเองนั้นไม่ต้องไปจองจำอยู่ในเรือนจำโดยไม่สำนึกต่อความผิดไม่ใส่ใจว่าใคร ผู้ใด จะได้รับผลกระทบตามมาอย่างไร
การกระทำดังกล่าวทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อภาพลักษณ์ของประเทศ เสื่อมเสียต่อกระบวนการยุติธรรม และกรมราชทัณฑ์
โดยอ้างว่า ป่วยรุนแรงโรงพยาบาลกรมราชทัณฑ์ไม่สามารถรักษาได้ จึงได้ส่งตัวไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจในห้องพิเศษชั้นที่ ๑๔ ตามที่ปรากฏเป็นข่าว
ตามมาด้วยคำถามในสังคมเป็นวงกว้างว่า บุคคลดังกล่าวป่วยจริงหรือไม่ การนำตัวออกจากเรือนจำชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ไปรักษาตัวในสถานที่ดังกล่าวจริงหรือไม่
มีบุคคลใดบ้างที่ให้การสนับสนุนจนกระบวนการเอาคนผิดมาลงโทษไม่เป็นไปตามกฎหมาย และกฎเกณฑ์ทางสังคม
ซึ่งต่อมาแพทยสภาได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาถึงพฤติกรรมของแพทย์ที่รักษาและมีการลงโทษแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ จำนวน ๓ คน โดยตักเตือน ๑ คน ในกรณีประกอบวิชาชีพเวชกรรมที่ไม่ได้มาตรฐาน และพักใช้ใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม ๒ คน ในกรณีให้ข้อมูลและเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความเป็นจริง
ต่อมา แพทยสภาส่งเรื่องให้รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขรับทราบ ในฐานะสภานายกพิเศษ ตามกระบวนการและขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แต่รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขได้โต้แย้งเป็นลายลักษณ์อักษร ไม่เห็นด้วยกับมติของแพทยสภาโดยอ้างว่า การวินิจฉัยความผิดและการลงโทษแพทย์ทั้งสามนั้นของคณะกรรมการแพทยสภาดังกล่าวมิได้นําข้อเท็จจริงอันเกี่ยวกับพฤติการณ์แวดล้อมของการกระทำของผู้ที่ถูกกล่าวโทษมาประกอบการพิจารณา
สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) ได้ติดตามเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิด มีการพูดคุย ประชุมหารือกันในหมู่องค์กรสมาชิก และกรรมการบริหารว่าจะมีท่าทีเรื่องนี้อย่างไร
และในคราวประชุมประจำเดือนกรรมการบริหาร สสรท. เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๘ ที่ประชุมได้มีมติให้ สสรท. ออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนในการสนับสนุนมติของแพทยสภา ซึ่งได้พิจารณาคดีจริยธรรมของแพทย์ตามกระบวนการที่เป็นธรรม โปร่งใส และยึดมั่นในหลักวิชาชีพเวชกรรม โดยมุ่งหวังให้การประกอบวิชาชีพของแพทย์เป็นไปอย่างมีมาตรฐาน และอยู่บน
พื้นฐานของจริยธรรมแห่งวิชาชีพที่ถูกต้องตามพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. ๒๕๒๕
สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) ขอเป็นกำลังใจแก่คณะกรรมการแพทยสภา ในการทำหน้าที่ควบคุมคุณภาพมาตรฐานจริยธรรมของแพทย์ไทย ให้ดำรงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นธรรม และความน่าเชื่อถือของวิชาชีพแพทย์ในสายตาสังคม
และเห็นว่า การตัดสินของแพทยสภา เมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๘ ถือเป็นความกล้าหาญในการยึดถือหลักจริยธรรมของวิชาชีพและความถูกต้องเหนือผลประโยชน์ส่วนตน
ประกอบการพฤติกรรมของผู้ป่วยเองจากสภาพร่างกายที่ปรากฏตัวต่อสาธารณะนั้น ไม่ได้มีอาการรุนแรงอย่างที่แถลงก่อนหน้านี้
สสรท. จึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมกันเคารพกระบวนการอิสระขององค์กรวิชาชีพ และร่วมกันธำรงไว้ซึ่งจริยธรรมอันเป็นรากฐานสำคัญของวิชาชีพแพทย์
เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและประชาชน และเพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรม และความมั่นคงทางสังคมให้เข้มแข็งต่อไป
จึงขอให้ผู้เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการลงโทษต่อผู้กระทำความผิดอันเป็นต้นเหตุของปัญหาทั้งปวงโดยเร็วก่อนที่ศักดิ์ศรีของประเทศไทยจะเสื่อมถอยไปมากกว่านี้”
3. เรื่องนี้ มติของแพทยสภาเดิม ชัดเจน สรุปว่า
3.1 ลงโทษ ว่ากล่าวตักเตือนแพทย์หญิง ร. เรื่องมาตรฐานการประกอบวิชาชีพเวชกรรม
เป็นแพทย์ผู้ทําหน้าที่ตรวจร่างกายผู้ต้องขังแรกรับในเรือนจํา เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 มีการบันทึกผลเวชระเบียน ตรวจสอบเอกสารประวัติการรักษาของคนไข้ที่มีอยู่ก่อน โดยได้ประเมินและมีความเห็นว่ากรณีผู้ต้องขังรายนี้ควรติดตามการรักษาและต้องพบแพทย์เฉพาะทาง หลายสาขา ซึ่งเป็นสาขาเฉพาะทางที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มี จึงได้เขียน
ใบส่งตัวให้ผู้ป่วยไปรับการตรวจรักษาต่อเนื่องในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูงกว่าในลักษณะผู้ป่วยนอก (OPD) โดยมีการให้คําปรึกษาทางโทรศัพท์กับพยาบาลเวรในช่วงเวลาดึกของวันเดียวกันเกี่ยวกับอาการป่วยของผู้ต้องขัง และได้อนุญาตให้ใช้ใบส่งตัวที่เขียนไว้ดังกล่าวเพื่อเป็นเอกสารประกอบการพิจารณาของผู้บัญชาการเรือนจําในการนําตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจํา และได้มีการนําตัวผู้ต้องขังคนดังกล่าวไปรักษาตัวนอกเรือนจําในเวลาต่อมา
คณะกรรมการแพทยสภาเห็นว่า ไม่ดําเนินการตามมาตรฐานการรักษาในกรณีดังกล่าวให้ถูกต้องครบถ้วน ผู้ถูกร้องควรให้ผู้มีหน้าที่ตรวจประเมินผู้ป่วยบันทึกข้อมูลความรุนแรงของโรคในภาวะวิกฤตและเป็นผู้ลงความเห็นในแบบฟอร์มดังกล่าวเองว่าสมควรรีบส่งตัวผู้ป่วยไปรักษาต่อนอกเรือนจํา
3.2 ลงโทษ พักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมของพลตำรวจโทนายแพทย์ ส. เป็นเวลาสามเดือน กรณีให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความเป็นจริง
เป็นนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตํารวจ ได้ให้สัมภาษณ์ตอบคําถามของผู้สื่อข่าว ซึ่งมีการกล่าวถึงอาการป่วยของผู้ต้องขังป่วยซึ่งมารับการรักษาที่โรงพยาบาลตํารวจ จํานวน 2 ครั้ง กล่าวคือ การสัมภาษณ์ในวันที่ 23 สิงหาคม 2566 และในวันที่ 25 สิงหาคม 2566
คณะกรรมการแพทยสภาพิจารณาว่า การกระทําดังกล่าว เป็นการให้ข้อมูลทางการแพทย์ที่ไม่ครบถ้วนตามที่ปรากฏอยู่ในเวชระเบียน การให้สัมภาษณ์ดังกล่าวทําให้การเจ็บป่วยดูยังมีความรุนแรง การให้สัมภาษณ์นักข่าวในกรณีที่เป็นประเด็นใหญ่ทางสังคมนั้น ควรมีความระมัดระวังและไม่ให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน การกระทําของผู้ถูกร้องดังกล่าวถือเป็นความผิดร้ายแรง
และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทําให้สังคมเข้าใจว่าผู้ป่วยมีอาการฉุกเฉินรุนแรงจําเป็นต้องรับตัวไว้รักษาตัวในโรงพยาบาล เป็นการบิดเบือนความจริงไปจากที่บันทึกไว้ในเวชระเบียน ส่งผลทําให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง
3.3 ลงโทษ พักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมของพลตำรวจโทนายแพทย์ ท.เป็นเวลาหกเดือน กรณีให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความเป็นจริง
ให้ข้อมูลทางการแพทย์ไม่ตรงกับความเป็นจริง ข้อเท็จจริงจากการสอบสวนรับฟังได้ว่าสาระของใบแสดงความเห็นแพทย์ ประกอบไปด้วยส่วนสําคัญ ได้แก่ อาการ การวินิจฉัย และความเห็นแพทย์
ในส่วนของความเห็นแพทย์ในใบแสดงความเห็นแพทย์เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2566 ระบุว่า “การรักษายังไม่สิ้นสุด เพราะต้องรักษาแผลที่ ผ่าตัด ตรวจและวางแผนผ่าตัดโรคที่รายงาน จึงจําเป็นต้องรักษาในโรงพยาบาล”และในใบแสดงความเห็นแพทย์ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2566 ระบุว่า “ต้องรับการผ่าตัดเร่งด่วน เพราะมีอาการปวดรุนแรง มือและแขน อ่อนแรง”
การแสดงความเห็นแพทย์ดังกล่าว คณะกรรมการแพทยสภาลงมติวินิจฉัยว่า เป็นการลงความเห็นที่ไม่ถูกต้อง และเห็นควรลงโทษพักใช้ใบอนุญาต 6 เดือน
เห็นว่า การให้ความเห็นแพทย์ทั้งสองครั้งดังกล่าว ไม่ถูกต้องเหมาะสม โดยเฉพาะใบแสงความเห็นแพทย์เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2566 ที่มีการระบุความเห็นว่า “จําเป็นต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล”
เห็นว่า ผู้ป่วยไม่จําเป็นต้องรักษาตัวต่อเนื่องในโรงพยาบาล โดยรับฟังจากข้อมูลของกลุ่มอาการและโรคของผู้ป่วย ได้แก่
กลุ่มอาการและโรคทางอายุรศาสตร์ เห็นว่าโรคและอาการ ทั้งหมดเป็นโรคเรื้อรังไม่ต้องพักรักษาในโรงพยาบาล ประกอบกับเวชระเบียนของพยาบาล (nurses notes) กับส่วนของบันทึกติดตามอาการของแพทย์ (progress note) 15 กันยายน 2566 ซึ่งเป็นวันที่ผู้ถูกร้องเขียนใบแสดงความเห็นแพทย์ ไม่พบการบันทึกภาวะหรือโรคใด ๆ ทางอายุรศาสตร์ที่ต้องรักษาในโรงพยาบาล กลุ่มอาการและโรคทางประสาทศัลยศาสตร์ เห็นว่าผู้ถูกร้องไม่ได้ทําการผ่าตัด แต่ให้ใส่ปลอกคอประคับประคองไว้เท่านั้น แพทย์เจ้าของไข้ให้ถ้อยคําว่าปัญหาเรื่องกระดูกสันหลังไม่ใช่เรื่องภาวะฉุกเฉิน
กลุ่มอาการและโรคทางศัลยกรรมกระดูกและข้อ รับฟังว่า แพทย์ผู้ผ่าตัดอาการนิ้วล็อกให้ถ้อยคําว่า การอยู่ในโรงพยาบาลของผู้ป่วยไม่ใช่ปัญหาของด้านศัลกรรมกระดูกและข้อ บันทึกติดตามอาการของแพทย์ในวันที่ 15 กันยายน 2566 (ห้าวันหลังจากวันผ่าตัดและเป็นวันเดียวกันกับวันที่เขียนใบให้ความเห็นแพทย์) ก็ไม่พบ ภาวะแทรกซ้อนใด ๆ ทางศัลยกรรมกระดูกและข้อ เปรียบเทียบกับผู้ป่วยซึ่งเป็นผู้ต้องขังซึ่งมารับบริการในโรงพยาบาลตํารวจแบบผู้ป่วยใน ซึ่งได้รับการรักษาบริเวณนิ้วคล้ายกับผู้ป่วยก็พักรักษาในโรงพยาบาลตํารวจเพียงสองวัน
ประกอบกับการให้ความเห็นของราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์แห่งประเทศไทยว่า โดยปกติการผ่าตัดนิ้วล็อกไม่ต้องนอนโรงพยาบาลและไม่ต้องได้รับการผ่าตัดเร่งด่วน
และในส่วนใบแสดงความเห็นแพทย์ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2566 ที่มีการระบุความเห็นแพทย์ไว้ว่า “ต้องรับการผ่าตัดเร่งด่วน เพราะมีอาการปวดรุนแรง มือและแขนอ่อนแรง”วินิจฉัยว่าเป็นการลงความเห็นที่ไม่ถูกต้องเช่นกัน โดยพิจารณาจาก ความเป็นของราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์แห่งประเทศไทยที่ระบุว่า จากข้อมูลที่ได้มาไม่มีประวัติอาการ ปวดไหล่ขวามาก่อน ต่อมาได้ข้อมูลจากการวินิจฉัยเอ็นหัวไหล่ข้างขวาฉีกขาดจากการตรวจร่างกายและผล ตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น rotator cuff tear ซึ่งหากเป็นภาวะที่เกิดขึ้นเฉียบพลันทางออร์โธปิดิกส์จะจัดว่าไม่ใช่ภาวะเร่งด่วน ซึ่งหากเป็นไปได้ควรทําการผ่าตัดโดยเร็ว แต่ไม่ควรทิ้งไว้เกิน 3 - 6 สัปดาห์ และหากพิจารณารักษาโดยการผ่าตัดจําเป็นต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลหลังการผ่าตัด
มีความเห็นโดยสรุปว่า การออกใบแสดงความเห็นแพทย์ของผู้ถูกร้องทั้งสองใบถือว่ามีข้อมูลทางการแพทย์ ไม่ตรงกับความเป็นจริง รวมทั้งผู้ถูกร้องเป็นประสาทศัลยแพทย์ ไม่ใช่ผู้มีความรู้ความชํานาญทางศัลยกรรมกระดูกและข้อ ซึ่งเป็นโรคที่ได้รับการผ่าตัดในผู้ป่วยรายนี้ จึงไม่ควรลงความเห็นแทนแพทย์ ศัลยกรรมกระดูกและข้อ โดยควรให้แพทย์เจ้าของไข้หรือแพทย์ผู้ผ่าตัดเป็นผู้ลงความเห็น
นอกจากนี้ ผู้ถูกร้องย่อมทราบว่าความเห็นแพทย์ทั้งสองฉบับดังกล่าว เป็นความเห็นแพทย์ที่จะถูกนําไปใช้ประกอบการขอความเห็นชอบสําหรับกรณีผู้ต้องขังต้องพักรักษาตัวนอกเรือนจํานานเกินกว่า 30 วัน และ 60 วันตามลําดับ ผู้ถูกร้องควรระบุความเห็นให้ชัดเจนว่าผู้ป่วยควรพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นระยะเวลาเท่าใด และเหตุผลที่ชัดเจนในการต้องพักรักษาตัว เป็นการให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรง กับความเป็นจริง มีพิรุธ ทําให้ผู้ป่วยที่เป็นนักโทษสามารถพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนอกเรือนจํานานเกินกว่าที่ควรจําเป็น อาจทําให้ผู้หนึ่งผู้ใดได้ประโยชน์โดยมิชอบ เป็นการเลือกปฏิบัติ ส่งผลกระทบต่อสังคมและความเชื่อมั่นต่อวงการแพทย์อย่างชัดเจน
4. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษมีความเห็นวีโต้แพทยสภา ทั้ง 3 กรณีข้างต้น
5. กรรมการแพทยสภาทุกท่าน จงถามใจตนเองดู ท่านจะยอมสยบต่อความเห็นของนักการเมืองที่ใกล้ชิดกับอดีตนักโทษผู้มีส่วนได้เสีย
หรือยืนหยัดตามจุดยืน และความเห็นที่พิจารณาบนฐานข้อมูลข้อเท็จจริง บนฐานของการรักษาไว้ซึ่งเกียรติศักดิ์วิชาชีพแพทย์ ?
การกระทำของท่าน ในวันที่ 12 มิ.ย.นี้ จะเป็นตราประทับตัวท่านไป ตราบนานเท่านาน
แพทยสภา ต้องไม่ยอมสยบต่ออำนาจอธรรม
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี