มาถึงวันนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่านายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้พ่อ ตัดสินใจเล่นเกมเสี่ยงอีกครั้ง กดปุ่มให้น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนลูก นั่งในตำแหน่งต่อไปโดยไม่นำพาต่อกระแสเรียกร้องให้แสดงความรับผิดชอบทางการเมืองจากกรณีคลิปเสียงหลุดขณะสนทนากับฮุนเซนในประเด็นปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา
น.ส.แพทองธาร ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงคับขันที่สุดก็ว่าได้ ไม่เอาทั้งวิธีการลาออก หรือ ยุบสภา แต่กลับเลือกใช้การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) โชว์ภาพผนึกกำลังกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิม ยกเว้นพรรคภูมิใจไทยพร้อมยกเหตุผลอยู่ต่อเพื่อแก้ปัญหาประชาชน-ปกป้องอธิปไตย หวังจะพลิกวิกฤตเป็นโอกาสกอบกู้ความเชื่อมั่นกลับคืนมา
อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้ว ทุกครั้งเมื่อมีการปรับคณะรัฐมนตรี ไม่ว่าปรับเล็ก หรือปรับใหญ่ มักจะมีกระแสตอบรับทางสังคมได้ในระดับหนึ่ง เป็นความหวังว่าน่าจะทำให้การแก้ไขปัญหาต่างๆดีขึ้นบ้าง แต่สำหรับการปรับคณะรัฐมนตรี “แพทองธาร1/2” หนนี้กลับได้สร้างความรู้สึกน่าวิตกกังวลลึกๆ ว่า จะซ้ำเติมวิกฤตทางการเมืองหรือไม่
ต้องยอมรับว่า กระแสมาแรงตอนนี้คือการเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก ซึ่งเป็นโอกาสและทางรอดที่น่าจะดีที่สุดแล้ว เนื่องจากจุดอ่อนคือตัวของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เองที่มีปัญหาเรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน ไม่สามารถแก้ไขปัญหาภาพรวมของประเทศในเรื่องต่างๆ ได้ อย่างเป็นรูปธรรม และสถานการณ์ตอนนี้ที่หนักที่สุดก็คือ ปัญหาภาวะผู้นำ
คำพูดในคลิปเสียงกับฮุนเซน ยังดังก้องอยู่ในหูคนไทยไม่จางหาย จากความเชื่อมั่นที่หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดก่อนหน้านี้ ใช้เวลาเพียง 17 นาทีเศษ ยิ่งตอกย้ำซ้ำเติมให้ดำดิ่งติดลบ กลายเป็นตัวตลกในสายตาคนไทยทันที ขณะที่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็หมดความสง่างามลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ จนไม่เหลือความน่าเกรงขามอะไรอีกต่อไป
การปรับคณะรัฐมนตรี “แพทองธาร1/2”แม้จะลงตัวในสายตาผู้มีอำนาจ แต่สำหรับคนไทยและภาคส่วนต่างๆ แล้ว ไม่เชื่อมั่นว่าจะทำให้อะไรให้ดีขึ้นเพราะเมื่อส่วนหัวหมดความชอบธรรมแล้ว ส่วนหางจะไปเหลืออะไรให้ฝากผีฝากไข้ได้ การปรับครั้งนี้แค่ซื้อเวลากอดคอไปตายเอาดาบหน้าเท่านั้น จึงถูกตั้งคำถามอีกว่า รัฐบาลกำลังเอาชะตากรรมประเทศไปเสี่ยงหรือไม่
หากดูตามโผรายชื่อคณะรัฐมนตรีนั้น หลักๆล้วนเป็นคนเดิม แค่สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนเก้าอี้รัฐมนตรี มุ่งแบ่งปันผลประโยชน์ทางการเมืองมากกว่าปัญหาวิกฤตชาติที่รุมเร้าจ่อคอหอยอยู่ในเวลานี้ โดยไม่คิดถึงความรู้สึกของชาวบ้านตาดำๆ ยิ่งตอกย้ำให้คนรู้สึกเบื่อหน่ายกับสันดานของนักการเมืองว่าแม้จะล่วงผ่านมากี่ยุคกี่สมัยก็ตามแต่ความอัปลักษณ์ทางการเมืองไม่เคยหมดไป
มิหนำซ้ำคราวนี้อาจจะหนักกว่าเดิม เพราะจากพฤติกรรมของ น.ส.แพทองธาร และพรรคร่วมรัฐบาลนั้น กำลังเป็นไปเพื่อความอยู่รอดตามสถานการณ์โดยไม่สนใจต่อเสียงเรียกร้องและไม่ยี่หระปัญหาวิกฤตศรัทธาผู้นำที่ได้หมดสิ้นลงไป ซึ่งคงไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้อีก จึงไม่แปลกที่สังคมกำลังรู้สึกถึงความมืดมนของประเทศ และกำลังดิ้นรนเพื่อหาทางออกกันเอง
ตลอดเวลา 9-10 เดือนบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร ถือว่าประเทศนี้ได้ให้โอกาสมาพอสมควรในการพิสูจน์ฝีมือและทำผลงานในฐานะผู้นำที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย แม้จะมีคำถามต่างๆ มากมายถึงการได้มาซึ่งตำแหน่งก็ตาม แต่ทุกคนก็อดทนที่จะเฝ้ารอดูให้เห็นกับตา
แต่ผ่านไปแค่ไม่ถึงขวบปีด้วยซ้ำ จากโอกาสที่เคยได้รับ ถูกทำให้กลายเป็นวิกฤต และกำลังจะพลิกให้เป็นวิบัติ ซึ่งยังไม่รู้จะไปจบลงตรงไหน หลังม็อบคณะรวมพลังแผ่นดินฯได้นัดลงถนนจุดพลุขับไล่ในวันที่ 28 มิถุนายนนี้ ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ทั้งนี้ทั้งนั้น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ยังมีเวลาไตร่ตรองและคิดอ่านสถานการณ์ให้ดีว่า ควรล้อเล่นกับวิกฤตศรัทธาของประชาชนหรือไม่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี