กรณีที่อดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ไปแสดงวิสัยทัศน์ ที่“สื่อเครือเนชั่น” จัดกิจกรรม “55ปี NATION ผ่าทางตันประเทศไทย Exclusive Talk กับ 3 ผู้นำทางความคิด” เมื่อวันที่ 9กรกฏาคมที่ผ่านมา ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์พญาไท นั้น ไม่ใช่แค่ตั้งคำถามเป็นการด้อยค่า“ทักษิณ”ว่า “ใครอนุญาตให้‘เขา‘เสือก’?” แต่มันร้ายแรงและเลวร้ายยิ่งกว่านั้น
การไปโชว์วิสัยทัศน์ดังกล่าวของ“ทักษิณ ชินวัตร” โดยมี 3 บรรณาธิการเครือเนชั่น คือ “สมชาย มีเสน”,“วีระศักดิ์ พงศ์อักษร” และ“บากบั่นบุญเลิศ” เป็นผู้ดำเนินรายการ ถือว่าเป็นการกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งโดยใช้“สื่อเครือเนชั่น”เป็นเวที เหมือนที่เคยใช้เวทีนี้เปิดตัวหลังพ้นโทษเมื่อวันที่ 22 สิงหาคมปี 2567 ภายใต้ชื่องาน“Dinner Talk Vision forThailand 2024” ซึ่งครั้งนี้เป็นการเปิดตัวต่อสาธารณะ หลังจากถูกอรสพิษแห่งเขมรที่ชื่อ“ฮุนเซน”ผู้เป็นเพื่อนรักหักเหลี่ยม ปล่อย“คลิปอัปยศ”ออกมาทำลายล้าง“แพทองธารชินวัตร”บุตรสาวของตนเมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และ“ทักษิณ”ก็เก็บตัวเงียบ ไม่ยอมเปิดปากนับแต่นั้นเป็นต้นมา
อย่างไรก็ตาม ในการโชว์วิสัยทัศน์จากการตั้งประเด็นสัมภาษณ์ของ 3บรรณาธิการเครือเนชั่นในครั้งนี้ มีคนติดตามดูกันทั้งบ้านทั้งเมือง เพราะอยากรู้ว่า “ทักษิณชินวัตร”จะแก้ตัวอย่างไร ในกรณีที่ถูก“ฮุนเซน”ปล่อย“คลิปอัปยศ” ออกมาเขย่าเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของ“แพทองธารชินวัตร” รวมทั้งจะมีท่าทีอย่างไรต่อสถานการณ์ทางเมืองที่กำลังรุมเร้ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยอยู่ในเวลานี้ หลังจากพรรคภูมิใจไทยถอนตัวออกไป ตลอดจนการแก้ปัญหาเรื่อง“ภาษีทรัมป์” เป็นต้น ซึ่ง ในหัวข้อต่างๆเหล่านั้น จึงเป็นที่มาของความ“ร้ายแรงและเลวร้าย” ยิ่งกว่าคำว่า“ใครอนุญาตให้‘เขา‘เสือก’?”
นั่นก็เพราะ “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้ตั้งฉายาให้ตนเองว่า “ส.ท.ร.”หรือ“เสือกทุกเรื่อง”ซึ่งปัจจุบันเป็นจำเลยคดีความผิดตามมาตรา112 และกำลังถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไต่สวนกรณี“ป่วยทิพย์-ชั้น14”โรงพยาบาลตำรวจ ได้แสดงทัศนะและพูดจาแสดงตนเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า เข้าข่ายบุคคลนอก“ครอบงำพรรคเพื่อไทย” อันเท่ากับเป็นการ“ครอบงำรัฐบาล”ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำโดยอ้อม
ตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง (พ.ร.ป.) ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2)พ.ศ.2566 ได้มีการกำหนดห้ามบุคคลภายนอกเข้าไปครอบงำพรรคการเมืองเอาไว้ 2 มาตรา คือ มาตรา 28 และมาตรา 29
มาตรา 28 กำหนดไว้ว่า ห้ามพรรคการเมือง “ยินยอม”ให้บุคคลที่ไม่เป็นสมาชิกพรรคเข้ามาควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำ พรรคการเมืองในลักษณะที่ทำให้พรรค หรือสมาชิกของพรรคไม่เป็นอิสระ ทั้งทางตรง และทางอ้อม หากพรรคการเมืองใดมีการกระทำที่เข้าข่ายลักษณะดังกล่าว ไม่จำเป็นที่จะต้องมีผู้ร้องเรียน แต่กกต.โดยนายทะเบียนพรรคการเมือง สามารถดำเนินการตรวจสอบ ถ้ามีมูลจริงแล้วถึงส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญดําเนินการไต่สวนต่อ และถ้าศาลพบหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคการเมืองกระทําผิดจริง ศาลรัฐธรรมนูญสามารถสั่งยุบพรรคการเมือง และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองนั้นได้ถึง 10 ปี ตามมาตรา 92 (3)
มาตรา 29 กำหนดเรื่องคนนอก หรือ“ผู้ที่ไม่ใช่สมาชิกพรรคการเมือง” ห้ามเข้ามาควบคุม ครอบงํา หรือชี้นํา ก้าวก่ายจนทำให้กิจกรรมของพรรคการเมืองขาดความเป็นอิสระ ซึ่งบุคคลที่ไม่ใช่สมาชิกพรรคการเมืองนั้น ให้หมายความรวมถึงคนที่ไม่ใช่สมาชิกพรรค เพราะถูกเว้นวรรคทางการเมือง ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีพ รวมถึงบุคคลที่เคยถูกศาลพิพากษาถึงที่สุดสั่งยึดทรัพย์ เพราะทุจริต และทำผิดกฎหมาย ป.ป.ช.อันเป็นคุณลักษณะบุคคลต้องห้ามที่จะเป็น ส.ส.และสมาชิกพรรคการเมือง ทั้งนี้ คนนอกที่เข้ามาทำการครอบงำพรรค มีโทษจำคุกเป็นเวลาห้าปีถึงสิบปี ปรับตั้งแต่ 1 แสนบาท ถึง 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมถึงให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งผู้นั้นด้วย ตามมาตรา 108
ตามไปดูว่า“ทักษิณ ชินวัตร” ซึ่งคนส่วนใหญ่ในประเทศนี้เห็นมาตลอดว่ามีพฤติการณ์และพฤติกรรมที่เข้าข่าย“บุคคลนอก”ครอบงำพรรคเพื่อไทย และเท่ากับเป็นการครอบงำรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำโดยอ้อม ตั้งแต่“ทักษิณ”ได้รับการพักโทษจนกระทั่งพ้นโทษในเดือนสิงหาคม 2567 แต่กกต.ที่มีหน้าที่โดยตรงกลับไม่นำพา กลายเป็นว่าองค์กรอิสระแห่งนี้อยู่ในสภาพ“ผู้พิการ”ง่อยเปลี้ยเสียขาและหูหนวกตาบอด
ขอยกที่“ทักษิณ ชินวัตร” ไปพูดในงาน“55 ปี NATION ผ่าทางตันประเทศไทยฯ” และเข้าข่ายละเมิดกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเรื่อง“บุคคลนอก”ครอบงำพรรคเพื่อไทย อันเท่ากับเป็นการครอบงำรัฐบาล-4 ย่อหน้าดังต่อไปนี้
เริ่มจากประเด็นที่มีการถามว่า “ประเทศถึงทางตันแล้วหรือไม่ ถ้ามีเกิดจากอะไร และทางออกควรเป็นอย่างไร”, “ทักษิณ ชินวัตร”เจ้าของคอกเพื่อไทยตัวจริงกล่าวว่า “ถ้าทางตัน แสดงว่ามีคนอุดไว้ มันถึงจะตัน ถ้าดึงมันออกก็ไม่ตัน เหตุเกิดที่ไหน ดับที่นั่น ส่วนใครอุดนั้น เราต้องเข้าใจก่อนว่า เมืองไทยคนอยากเป็นนายกฯก็เยอะ มีบางคนลูกชายไปเที่ยวเมืองนอก ประกาศเลยพ่อต้องเป็นนายกฯในเดือนกรกฎาคมนี้ สงสัยพ่อจะดูหมอหรือไม่ บางคนอยากเป็นนายกฯ ยอมทำทุกอย่าง เพราะว่าอยากให้หมอดูแม่น เดี๋ยวหมอดูจะไม่แม่นไป ทั้งนี้ การเมืองมีหลายรูปแบบ ยิ่งวันนี้มีเรื่องนิติสงครามเข้ามาด้วย เป็นเรื่องของตัวเลขในสภาฯ คณิตศาสตร์ทางการเมือง ก็ทุกคนเก่งคณิตศาสตร์หมด คงไม่มีอะไร มันไม่มีอะไรเกินกว่าจะแก้ได้ บอกได้เลยว่าไม่ตัน”
ประเด็นต่อมา มีการถามเรื่องพรรคภูมิใจไทยถอนตัวออกจากรัฐบาลเพราะพรรคเพื่อไทยยึดกระทรวงมหาดไทยคืน ซึ่ง“ทักษิณชินวัตร”พูดเหมือนตนเองเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจในการตัดสินใจว่า “ฟังนะไม่ได้ขอให้ออก คือเพียงแต่ว่า รัฐบาลเพื่อไทย เป็นรัฐบาลที่ต้องมีผลงาน ชอบสู้ด้วยนโยบาย พอแถลงไม่เป็นไปตามนั้น ก็ต้องพยายามผลักดัน แต่มันดันตันที่กระทรวงมหาดไทย นโยบายหลายเรื่อง ยาเสพติด การแก้ปัญหาความยากจน ทุกอย่าง เรื่องหนี้สิน เรื่องOTOP ต้องอาศัยกลไกมหาดไทยทั้งนั้น ต้องแก้ตรงนั้น เราก็พยายามจะขอแก้ แม้กระทั่งการสร้างบ้านให้คนไทย ทำสัญญา 99ปี ก็ติดที่มหาดไทยอีก ตันตรงนั้นหลายจุด เป็นเรื่องยุทธศาสตร์ของใครของมัน ซึ่งเราบอกว่า พูดชัดเจนเลย พรรคเพื่อไทยขอมหาดไทยคืน แต่เขาไม่ตกลง เราก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะออกหรือไม่ ซึ่งนายกฯก็มาเล่าให้ผมฟังว่า ยังอยากให้เขาอยู่ตรงนี้ อยู่ทำด้วยกัน เมื่อมีเหตุ‘ฮุน เซน’ ก็ได้จังหวะเตะลูกพร้อม”
อีกประเด็นหนึ่ง เมื่อถูกถามว่า “เคยคิดหรือไม่ ถ้าพรรคภูมิใจไทยออกจากรัฐบาลไป จะเกิดเหตุยุ่งเหยิงแบบนี้”, “ทักษิณชินวัตร”ตอบว่า “แน่นอน เดาไว้อยู่แล้ว ผมไม่อยากให้เขาออก แต่เขาดันออก คือ เมื่อตัดสินใจแล้ว ก็อย่าไปเสียใจกับมัน เราไม่สามารถคอนโทรลได้ เราชวนเขาแล้ว เขาไม่เอา ก็ช่วยไม่ได้ ไม่รู้ทำอย่างไร ส่วนข้อตกลงที่ผ่านมานั้น เท่าที่ทราบคือ เมื่อเราขอกระทรวงมหาดไทยคืน เขาขอแลกกระทรวงเดียว คือ กระทรวงคมนาคม ซึ่งเรารู้อดีตว่าเป็นอย่างไร ที่ไม่ให้เขาไป”
ประเด็นสุดท้ายที่ยกมา เรื่องเสียง สส.ของรัฐบาลในสภาฯที่ปริ่มน้ำ ซึ่งถูกตั้งคำถามว่าจะต้องทำอย่างไรนั้น, “ทักษิณชินวัตร”กล่าวชัดถ้อยชัดคำว่า “เราต้องบริหารและเพิ่มคนไป เดี๋ยวก็ต้องร้องเพลง ‘ฉันเปล่านะเขามาเอง’ ก็ไม่มีปัญหาอะไร พวกเราเป็นเบิร์ด (ธงไชยแมคอินไตย์) เพราะรักทุกคน ปัญหาเขามีไว้ให้แก้ เขาไม่ได้มีไว้ให้แบก ซึ่งผมมองปัญหาเป็นความท้าทาย ถ้าคิดว่าเป็นปัญหาก็จะเครียดตาย ไม่ต้องนอน เราอยู่ในโลกที่มีกติกา ก็ต้องเคารพกติกา แต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญบอกให้พักปฎิบัติหน้าที่ เราก็พัก แต่คนมีหน้าที่ก็ทำไป ย้ำว่าเป็นเรื่องที่เราต้องทำตามกติกา ถ้าเราไม่เคารพกติกาไปบิดเบี้ยวกติกา ก็อยู่ด้วยกันยาก ส่วนถ้าคนชกนอกกติกา ผมก็จะกระทืบเท้าเขา จะกระทืบตัวเองทำไม”
ทั้งหลายทั้งปวงนี้ จึงเป็นข้อสรุปว่า ประเทศนี้ ไม่ว่ารัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายฉบับต่างๆ แม้จะมีบทบัญญัติดีแค่ไหนอย่างไรก็ตาม ถ้าคนชั่วช้าสามานย์ขึ้นมามีอำนาจ แล้วไม่ยึดปฏิบัติ ข้อบัญญัติเหล่านั้นก็มีค่าเพียงแค่กระดาษเช็ดก้นเท่านั้น
สำคัญที่สุดก็คือ หาก“ผู้รักษากฎหมาย”ยอมทอดตัวเป็นข้าทาสบริวารของคนชั่วช้าสามานย์ แล้วละเว้นต่อการปฏิบัติหน้าที่ ก็ยิ่งเท่ากับช่วยเร่งให้ชาติบ้านเมืองเกิดความวิบัติฉิบหายเร็วขึ้น !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี