เมื่อวิญญูชนพูดถึงทักษิณ ชินวัตร ก็จะมีมุมมองต่อคนคนนี้ในแง่มุมที่เต็มไปด้วยคำถาม และข้อสงสัยนานัปการ แต่มีเรื่องหนึ่งที่น่าสงสัยมากก็คือทักษิณมีความคิดและความรู้สึกอย่างไรกับสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย
ผู้มีสติปัญญารายใดก็ตามที่ได้ฟังคำพูดจากปากทักษิณ เวลาเขาพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ต้องตั้งคำถามด้วยกันทุกคน เพราะเมื่อตีความจากคำพูดของเขาแล้ว จะทำให้เข้าใจได้ว่าเขาไม่น่าจะเลื่อมใสและศรัทธาต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแท้จริง
ต้องย้ำว่าหลายต่อหลายครั้งทักษิณพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยคำพูดที่ทำให้เขาถูกมองว่าไม่จงรักภักดีต่อสถาบันนี้ แต่เมื่อเขาถูกตั้งคำถามเรื่องนี้ เขาก็จงใจเบี่ยงประเด็นว่าเขาถูกอิจฉาริษยา เพราะเขาคือคนที่มีความเด่นโด่งดัง และเป็นที่นิยมชมชอบของประชาชนไทยจำนวนมาก
ลองกลับไปค้นหาคำพูดเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ออกจากปากของทักษิณ ตั้งแต่สมัยที่เขายังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วจะประจักษ์ชัดว่าเขามีความคิดเห็นอย่างไรกับสถาบันนี้
ไม่ว่าจะเป็นคำพูดของทักษิณที่ว่า...ยกเว้น พระเจ้าอยู่หัวมากระซิบข้างหูว่า ทักษิณลาออกเถอะ รับรองจะกราบพระบาท ลาออกทันที... โดยทักษิณพูดประโยคนี้เมื่อสมัยเขายังเป็นนายกรัฐมนตรีในช่วงต้นปี 2549
ข้อความในย่อหน้าข้างต้นนั้น คือตัวอย่างที่ทำให้วิญญูชนประจักษ์ชัดว่าทักษิณจงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัว จริงหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ขอแนะนำให้อ่านหนังสือชื่อ Conversations with Thaksin, From Exile to Deliverance : Thailand’s Populist Tycoon Tells His Story ที่เขียนโดย Tom Plate อดีตนักข่าว CNN
Tom Plate เขียนหนังสือเล่มนี้จากการสนทนากับทักษิณ ขณะทักษิณหนีคดีอาญาของไทยอยู่ใน เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยสนทนากันเมื่อเดือนธันวาคม 2553 และในช่วงกลางปี 2554
ผู้สัมภาษณ์ทักษิณเขียนไว้ในหนังสืออย่างชัดเจนว่า ทักษิณพูดภาษาเหมือนกับใช้โครงสร้างไวยากรณ์แบบภาษาไทย การออกเสียงก็กระท่อนกระแท่น ตะกุกตะกัก แต่ก็ไม่ยากนักที่จะทำความเข้าใจ แต่ต้องคุยกันแบบต่อหน้าจึงจะเข้าใจได้ง่าย แต่หากบันทึกเสียงแล้วนำไปถอดความเป็นข้อเขียนเพื่อให้ตรงตาม คำพูดแบบคำต่อคำ ก็ทำให้เกือบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะอ่านแล้วรู้เรื่องได้โดยง่าย
(ผู้สนใจอ่านรายละเอียดเรื่องนี้ อ่านเพิ่มเติมได้จาก https://www.thaivision.com/conversations-with-thaksin-by-tom-plate.html)
ต้องย้ำว่าคำพูดต่างๆ ของทักษิณที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ล้วนทำให้เกิดปัญหากับตัวทักษิณเองเป็นประจำ ตัวอย่างเช่น บทสนทนาระหว่างทักษิณ กับยุทธศักดิ์ ศศิประภา เมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม 2556 ที่มีข้อความว่าทักษิณต้องการเข้าไปเป็นที่ปรึกษาของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แล้วก็ย้ำว่าไม่ต้องการเป็นองคมนตรี และอ้างด้วยว่าหากพระเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้งทักษิณเมื่อไร ก็จะช่วยทำให้สำนักงานทรัพย์สินฯ มีเงินมีทองมากมาย ร่ำรวยขึ้น และเพื่อเป็นการเก็บตัวทักษิณไว้ไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง
หากดูให้ลึกแล้วจะพบเห็นว่าทักษิณมักตั้งใจพูดพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยเสมอๆ และไม่เคยเลี่ยงการพูดถึงสถาบันดังกล่าวเมื่อถูกถามหรือสัมภาษณ์โดยสื่อมวลชนต่างชาติ แล้วทุกครั้งที่ทักษิณพูดจาพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์ก็มักทำให้ตัวทักษิณต้องประสบปัญหาเป็นประจำ แต่ถึงกระนั้นทักษิณก็ไม่เคยสำเหนียกในเรื่องนี้ แต่ยิ่งพูดก็ยิ่งทำให้จับได้ว่าทักษิณไม่น่าจะจงรักภักดีโดยแท้จริง
คนรู้ทันทักษิณเห็นมาโดยตลอดว่าทักษิณไม่เลี่ยงหรือหลบการตอบคำถามที่ถูกถามเกี่ยวกับเรื่องราวของพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระพันปีหลวง และบุคคลในพระราชวงศ์ ทั้งๆ ที่สามารถเลี่ยงการตอบคำถามเหล่านั้นได้ แต่เขากลับจงใจกล่าวพาดพิงโดย
ไม่ได้หยุดคิดพิจารณาแม้แต่น้อย
นอกจากนั้น ทักษิณยังคงโจมตีว่าร้ายองคมนตรีเป็นประจำ โดยอ้างว่า ประเทศไทยมีคณะองคมนตรี แต่องคมนตรีไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญเลย นั่น คือหนทางที่ เปรม ติณสูลานนท์ เข้าไปใช้อำนาจเหนือโครงสร้างทางการของรัฐบาล
ทักษิณบอกต่อว่าตอนที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรี เขาได้พูดให้คนทั่วไปรับรู้ว่า รัฐบาลจะไม่สามารถทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้เลย เพราะถูกดึงเอาไว้โดยคนดึงเชือกเชิดหุ่นหลายคน คนดึงเชือกเหล่านั้นเป็นคนนอกรัฐธรรมนูญ
และมีตอนหนึ่งที่ทักษิณบอกว่า ผมไม่จำเป็นที่จะต้องเอาตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ผมยกตัวอย่างให้ฟังว่า หากพระเจ้าอยู่หัวจะทรงมีพระเมตตากับผมมากพอ จะทรงแต่งตั้งให้ผมเป็นที่ปรึกษาสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ผมสามารถจะทำให้สำนักงานทรัพย์สินฯ มีเงินทองมากขึ้น ดังนั้น ถ้าทางพระราชวังแต่งตั้งผมให้ได้รับตำแหน่งใด ๆ ในวัง มันก็จะทำให้ผมยุ่งเกี่ยวกับการเมืองต่อไปไม่ได้ ตำแหน่งในวังจะบังคับให้ผมไม่สามารถเล่นการเมืองได้อีกต่อไป
ผมไม่ต้องการได้รับตำแหน่งองคมนตรี ผมไม่ทะเยอทะยานมากถึงเพียงนั้น แต่ผมต้องการพิสูจน์ว่าผมมีประโยชน์ต่อแผ่นดินของผมและประชาชนของผม เมื่อผมกลับไทย ผมควรจะต้องได้รับการแต่งตั้งให้มีตำแหน่งใดสักตำแหน่งหนึ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติแลประชาชน
แต่มีข้อความหนึ่งที่ทักษิณบอกชัดๆ ว่าเมืองไทยมีสิ่งไม่ปกติ คือประโยคที่บอกว่า ในเมืองไทยเป็นเช่นนี้ เจ้าหน้าที่รัฐ ทหาร และใครต่อใครไม่ทำอะไรเลยจนกว่าจะได้รับสัญญาณ
ทักษิณบอกว่าเคยไปถามผู้พิพากษาว่าทำไมไม่ให้ประกันตัวคนเสื้อแดง ผู้พิพากษาคนหนึ่งตอบว่ายังไม่ได้รับสัญญาณ มันจึงดูเหมือนว่าทุกคนรอดูสัญญาณคำถามคือ ทักษิณหมายถึงสัญญาณอะไร และใครให้สัญญาณ
แต่มีประโยคนี้ที่หนักหน่วงยิ่งกว่าที่ออกจากปากทักษิณคือ ผมว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงเคารพความเห็นจากนานาชาติ ดังนั้น หากเป็นความเห็นจากชาวโลกว่าถึงเวลาที่เมืองไทยต้องปรองดองกัน และมีการกราบบังคมทูลปรึกษากับพระเจ้าอยู่หัว แล้วถวายความเห็นบางอย่างกับพระองค์สักหน่อย ถ้าเป็นแบบนั้นพระองค์อาจกลับมาทรงคิดได้บ้างว่า นี่แหละคือทางออก ผมเชื่อว่านั้นคือทางออกของการแก้ปัญหา
ขอบอกว่าคำพูดเช่นนี้ของทักษิณเป็นคำพูดที่ไม่ได้แสดงความจงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัวแม้แต่น้อย
คนที่รู้ทันความคิด และพฤติกรรมของทักษิณย่อมเข้าใจได้ถ่องแท้ว่าทักษิณมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่ และย่อมเข้าใจดีด้วยว่าคำพูดของทักษิณที่บอกว่าจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นแค่คำอ้างหรือเป็นความจริง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี