มองจากสภาพทหารไทยกำลังเผชิญหน้ากับทหารกัมพูชาบนพื้นที่ขัดแย้งช่องบก ภูมะเขือ และ ปราสาทตาเมือนธม จากพฤติกรรมดูเหมือนว่า เขมรที่ยั่วยุทหารไทยส่วนใหญ่สืบสันดานจากเขมรแดงและเขมร/เวียดนาม
และเหตุการณ์ที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิดบาดเจ็บสามนายที่ช่องบก มองจากสภาพเชื่อว่า น่าจะเป็นฝีมือเขมรแดงรุ่นที่ 2 คือรุ่นลูกเขมรแดงที่ปลดระวาง
ประสบการณ์ทำข่าวสงครามเขมรสี่ฝ่าย เขมรเฮง สัมริน ในพนมเปญ รบกับเขมร 3 ฝ่าย นำโดยเขมรแดงของนายพอล พต เขมรเสรีของนายซอน ซาน และเขมรฟุนซินเปกของเจ้านโรดม สีหนุ
ในห้วงเวลาที่ทำข่าวสงครามกลางเมืองเราเคยเข้าถึงที่มั่นเขมรแดงสิบกว่าแห่ง คือเข้าถึงฐานที่มั่นเขมรแดง ตรงข้ามชายแดนไทยตั้งแต่ช่องบก อ.น้ำยืน ลงไปถึงบ้านหาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด ใกล้เกาะกงในกัมพูชา
ประสบการณ์กับเขมรแดงหลายปีพบว่า ทหารเขมรแดงได้รับการฝึกใช้อาวุธแบบ งูๆ ปลาๆ คือ ใช้แต่ปืน ค. 80 มม. และปืนอาก้า และนานทีได้ยิงปืนพวกนั้นสักนัดแต่อาวุธร้ายที่เขมรแดงใช้ป้องกันศัตรูรุกเข้าที่มั่นในป่า คือ กับระเบิด เขมรแดงชำนาญวางกับระเบิดบุคคลจนถึงระเบิดทำลายรถถัง
ทุกครั้งที่เข้าทำข่าวจะมีคนนำทางชี้บอกว่าตรงไหนมีกับระเบิด ในบางแห่งทหารเขมรแดงบอกให้เดินตามรอยเท้าคนนำทาง และเป็นนิสัยถาวรของเขมรแดงที่เมื่อถอยออกจากจุดไหนจะวางกับระเบิดไว้ข้างทางป้องกันศัตรูติดตาม จากข้อมูลที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิด เคยเป็นจุดที่ทหารเขมรขุดคูเลตรุกล้ำเข้าในดินแดนไทยและถูกผลักดันออกไป การวางกับระเบิดไว้ในที่ถอยออกไปเป็นเครื่องหมายการค้าของเขมรแดง
หลายฝ่ายอาจเชื่อว่าปัจจุบัน มีแต่ทหารรัฐบาลพนมเปญ เขมรแดง ซึ่งแกนนำของเขมรสามฝ่ายได้สลายตัวไปแล้ว นั่นเป็นความเชื่อทั่วไป แต่จากประสบการณ์ตรงที่เคยทำข่าวสงครามกลางเมืองกัมพูชา เชื่อว่าเขมรแดง เคยอยู่ตรงไหนก็ปักหลักทำมาหากินอยู่ตรงนั้น และที่เพิ่มเติม คือ เขมร/เวียดนาม (เขมรที่เกิดจากทหารเวียดนาม) ผสมปนเปอยู่ด้วย
และเชื่อด้วยว่า พลเรือนเขมรต่ำที่เข้ามาก่อกวนที่ปราสาทตาเมือนธมเป็นการผสมประสานกันระหว่างเขมรแดงรุ่นลูกกับเขมร/เวียดนาม สังเกตจากพฤติกรรมยั่วยุทหารในพื้นที่ขัดแย้งไม่ว่าจะเป็นที่ช่องบก ภูมะเขือ ซึ่งเคยเป็นพื้นที่เขมรแดงเคลื่อนไหวระหว่างสงครามโดยเฉพาะที่ปราสาทพระวิหารเขมรแดงใช้เป็นฐานที่มั่นและปราการสำคัญ
ผู้เขียนเคยไปทำข่าวเขมรแดงบนปราสาทพระวิหารสองครั้งระหว่างปี 2528 และ ปี 2530 พบว่า เขมรแดงอยู่ในสภาพขาดแคลนเสบียงและอาหาร ทหารตีนเปล่านั่งยันปืน ค.80 อยู่นอกพระวิหาร แสดงให้เห็นว่าพวกเขายังอยู่ที่นั่น
นำเรื่องมาเล่าเพราะมีข้อมูลว่าทหารเขมรมีที่ตั้งอยู่ส่วนหนึ่งของ#ภูมะเขือตั้งแต่ก่อนปะทะกับทหารไทยในปี 2544 จึงเชื่อว่าทหารอยู่ในป่าในสภาพขาดแคลนเกือบทุกอย่างได้ ต้องเป็นทหารที่สืบสันดานมาจากทหารเขมรแดง และเชื่อด้วยว่า หลังจากลงนามสันติภาพในกรุงปารีส ปี 2531 คู่สงครามกัมพูชา ใครเคยอยู่พื้นที่ไหน เมื่อสงบศึกแล้ว ก็อยู่ตรงนั้นต่อไป
ความเชื่อนี้พิสูจน์ด้วยตัวเองพบว่า หลังจากลงนามสันติภาพผ่านไป 12 ปี เอพีทีวียังเข้าไปสัมภาษณ์นายนวน เจีย คนสำคัญอันดับสองของเขมรแดง ในเขตเมืองไพลิน และในปี 2545 ผู้เขียนไปทำข่าวบ่อนการพนันในเมืองไพลิน พบว่า ชก เชืยน อดีตผู้บัญชาเขมรแดงกลายเป็นผู้ว่าราชการเมืองไพลิน
ประสบการณ์ทำให้เชื่อว่าเขมรแดง ได้กลายเป็นแนวร่วมการปกครองแบบคณาธิปไตยนำโดยสมเด็จฮุนเซน แห่งกัมพูชา และการเป็นส่วนหนึ่งของระบอบคณาธิปไตย ทำให้เขมรแดงเคยอยู่ตรงไหนก็ทำมาหากินอยู่ตรงนั้น
ในยุคสงครามกลางเมือง เขตไพลินอุดมไปด้วยพลอยไพลินและป่าดงดิบ เมื่อพลอยไพลินและป่าไม้ ถูกขุดถูกตัดขายหมดไป เขมรแดงจึงสมคบกับรัฐบาล ฮุนเซน เปิดบ่อนการพนัน และเป็นไปได้ว่าร่วมมีรายได้หลักจากขบวนการฉ้อโกงหลอกลวงออนไลน์
ความขัดแย้งไทย-กัมพูชารอบใหม่ประเด็นสำคัญ น่าจะมาจากมาตรการเข้มงวดชายแดนของทหารไทยที่ทำให้รายได้หลักจากบ่อน และคอลเซ็นเตอร์ลดลงไปอย่างน่าใจหาย ฮุนเซน จึงสร้างสถานการณ์ขัดแย้งชายแดนกับประเทศไทย
และเชื่อด้วยว่า ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาครั้งนี้ฮุนเซน ใช้ทหารสืบสันดานเขมรแดงกับทหารเขมร/เวียดนาม เป็นแนวหน้ายั่วยุท้าทายทหารไทย เนื่องจากในจังหวัดพระวิหารของกัมพูชาติดกับจังหวัดศรีสะเกษของไทย มีทหารเขมร/เวียดนาม และทหารสืบสันดานเขมรแดงอยู่ที่นั้นเป็นจำนวนมาก
วันที่ 22 พฤษภาคม 2544 ผู้เขียนถูกทหารเขมรจับในจังหวัดพระวิหาร ข้อกล่าวหาเป็นสายลับให้รัฐบาลไทยของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทหารที่จับกุมเป็นทหารสืบสันดานจากเขมรแดง แต่ผู้สอบสวนเป็นทหารเวียดนาม/เขมร ที่พูดภาษาไทย และภาษาเวียดนามดีมาก ระหว่างสอบสวนเขาหันไปพูดกับทหารเขมรที่ล้อมผู้เขียนเป็นภาษาเขมรและในบางครั้งตะโกนข้ามห้องเป็นภาษาเวียดนามพูดกับอีกห้องหนึ่ง
กว่าหกชั่วโมงการสอบสวนทำให้รู้ว่า ทหารเขมร/เวียดนาม เป็นผู้บังคับบัญชาในเขตพระวิหาร ส่วนทหารสืบสันดานเขมรแดง เป็นทหารราบแนวหน้า
จากเหตุการณ์นั้นทำให้เชื่อว่า ทหารที่ยั่วยุท้าทายทหารไทยที่ปราสาทตาเมือนธมเป็นทหารรุ่นที่ 2 ของเขมรแดง และผู้หญิงที่ด่าทอทหารไทยเชื่อว่า เป็นเวียดนาม/เขมร เพราะเขมรต่ำทั่วไปไม่ก้าวร้าวหยาบคายและใช้ภาษาต่างประเทศได้ไม่ดีเท่าเวียดนาม/เขมร
การทำข่าวในกัมพูชาหลังยุติสงครามพบว่า คนงานในภาคบริการ ท่องเที่ยว โรงแรม การบินและร้านอาหาร ที่ใช้ภาษาต่างประเทศได้ดี ล้วนแต่เป็นเขมร/เวียดนาม หรือไม่ก็เขมร/จีน ส่วนเขมรแท้ระดับชาวบ้านที่ยังขุดเผือกขุดมันขาย ไม่สามารถใช้ภาษาต่างประเทศได้ แม้แต่ภาษาไทยก็พูดไม่ชัดเหมือนผู้หญิงที่ด่าทหาร
จึงไม่แปลกใจที่บางคนกล่าวว่า ทหารเขมรอึดกว่า พวกเขาอยู่ในป่าได้เป็นสิบปีในภาวะที่ขาดแคลนแทบทุกอย่าง จึงเชื่อว่า ทหารไทยกำลังเผชิญหน้ากับเขมร/เวียดนาม และ เขมรสืบสันดานทหารป่ามาจากเขมรแดง
คนพวกนี้จึงเป็นทหารป่าที่ยังคงวางกับระเบิดโดยไม่สนใจอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ค.ศ. 1997 หรือที่เรียกกันอย่างไม่เป็นทางการว่าอนุสัญญาออตตาวา, อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิด
ทหารเขมรที่อยู่ในป่าไม่ได้รับการฝึกอบรมระเบียบวินัย จึงใช้หลักการสากลกับพวกเขาไม่ได้ และพลเรือนเขมรต่ำก็เช่นส่วนใหญ่เป็นเมียนายทหาร และข้าราชการในพื้นที่ขัดแย้ง ถูกสั่งให้ยั่วยุท้าทายให้ฝ่ายไทยใช้ความรุนแรง เพื่อพนมเปญจะได้เอาไปขยายความร้องเรียนชาวโลกว่าทหารไทยใช้ความรุนแรงก่อน
ต้องชื่นชมทหารไทยที่ปกป้องอธิปไตยของชาติ ด้วยความอดทนอดกลั้นและมีวินัยและเชื่อทหารไทยต้องเผชิญกับการยั่วยุท้าทายไปอีกนานตราบใดที่ประเทศไทยมีรัฐบาลอ่อนแอไม่กล้าแข็งข้อต่อรัฐบาลกัมพูชา
เชื่อว่าสาเหตุที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยไม่กล้าแข็งข้อต่อกัมพูชา เนื่องจากว่า ผู้นำจิตวิญญาณรัฐบาลเพื่อไทยไปพึ่ง ฮุนเซนในกัมพูชา ระหว่างที่ผู้นำจิตวิญญาณรัฐบาลเพื่อไทยหนีคุกไปซุกฮุนเซน และสมคบกันทำร้ายประเทศไทย บิดานายกฯไทย สมคบกับฮุนเซนทำเรื่องเลวร้ายต่อประเทศไทยรวมทั้งแผนการทำลายสถาบันสูงสุดของไทยด้วยหรือไม่? เป็นความลับที่ฮุนเซนยังเก็บงำเอาไว้
ปัจจุบันถึงแม้“ฮุนกับชิน” ทำสงครามน้ำลายกันมันเป็นน้ำจิ้มเท่านั้น ฮุนเซนยังเก็บงำเรื่องสำคัญไว้กดหัวรัฐบาลพรรคเพื่อไทยไม่ให้แข็งข้อต่อไป ส่วนสถานการณ์ชายแดน ฮุนเซนยังสามารถยั่วยุทหารไทยไปได้อีกนาน
ฮุนเซนรู้ว่า ผู้สืบสันดานเขมรแดงหลายพันคน พร้อมสร้างสถานการณ์ขัดแย้งยั่วยุตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา นอกจากนั้นยังมีเขมร/เวียดนามหลายหมื่นคนคอยสนับสนุนการก่อกวนทหารไทย
ด้วยความเชื่อส่วนตัวว่า ประชากร 14 ล้านคนของกัมพูชา 50% เป็นเขมร/เวียดนาม จากความจริงที่ว่าปี 2517 กัมพูชามีประชากร 7 ล้านคน เขมรแดงปกครองกัมพูชาตั้งแต่ เดือนเมษายน 2518 ถึง ต้นปี 2522 รายงานจากสหประชาชาติระบุว่าคนกัมพูชาล้มตายกว่าสองล้านคน
ทหารเวียดนามกว่า 500,000 นาย ถูกส่งเข้าขับไล่เขมรแดงออกจากพนมเปญในปี 2522 เวลานั้นชาวกัมพูชากว่า 2 ล้านคนเข้ามาอยู่ในค่ายอพยพในประเทศไทยนานกว่าสิบปี และชาวกัมพูชาหนีไปตั้งรกรากในประเทศที่สามกว่า 1 ล้านคน นั้นหมายความว่ากัมพูชามีประชากรเหลือประมาณ 3 ล้านคน
การเลือกตั้งครั้งแรกในกัมพูชาเกิดขึ้นในปี 2536 หลังจากที่สิ้นสุดสงคราม กัมพูชามีประชากร 9.3 ล้านคน จึงสงสัยว่า 9.3 ล้านคนมาจากไหนถ้าไม่เพิ่มขึ้นมาจากการเกิดกับทหารเวียดนาม การไปทำข่าวในกัมพูชาหลังสงครามสงบ พบว่าคนหนุ่มสาวส่วนใหญ่ในเมืองหลวงเป็นเขมร/เวียดนาม
และสถิติล่าสุดพบว่ากัมพูชามีประชากรกว่า14 ล้านคน หากไม่นับรวมประชากรที่ซื้อสัญชาติเช่นน.ส.ยิ่งลักษณ์ และ นายทักษิณ ชินวัตร เชื่อว่า 50% ของ 14 ล้านคน เป็นเขมร/เวียดนาม
คนไทยต้องตระหนักว่า เรากำลังเผชิญหน้ากับเขมรแดงและเขมร/เวียดนาม ตลอดถึงเขมรซื้อสัญชาติ ประเทศไทยไม่ได้เผชิญหน้ากับเขมรต่ำเหมือนยุคต้นรัตนโกสินทร์ดังที่เข้าใจ
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี