ถือว่าเป็นมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ออกมาถูกที่ถูกเวลา หลังไฟเขียวให้ความเห็นชอบอนุมัติโครงการจัดซื้อ เครื่องบินขับไล่ทดแทนแบบ Saab JAS 39 Gripen หรือ เครื่องบินขับไล่กริพเพน รุ่น E และรุ่น F จากประเทศสวีเดน 1 ฝูงบิน ในระยะที่ 1 จำนวน 4 เครื่อง มูลค่า 19,500 ล้านบาท เสริมเขี้ยวเล็บกองทัพอากาศในภาวะตึงเครียด
พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) เตรียมเดินทางไปลงนามสัญญาการจัดซื้อเครื่องบินขับไล่กริพเพนฝูงใหม่ จำนวน 4 ลำในห้วง 23-27 สิงหาคมนี้ ซึ่งเป็นไปตามยุทธศาสตร์สมุดปกขาวของกองทัพอากาศ เพื่อทดแทนเครื่องบิน F-16 จากกองบิน 1 ที่ใช้มากกว่า 37 ปี โดยโครงการนี้แบ่งเป็น 3 ระยะ รวม 10 ปี จนครบ 1 ฝูงบิน 12 เครื่อง
นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรียังเห็นชอบแก้สัญญาโครงการเรือดำน้ำ Yuan Class รุ่น S26T ที่ไทยลงนามรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) กับประเทศจีน เปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์จีน CHD620 จากเดิมเครื่องยนต์เยอรมัน MTU396 พร้อมแก้ไขขยายเวลาต่อเรือไปอีก 1,217 วัน หรือ ประมาณ 3 ปี 4 เดือน เพิ่มขีดความสามารถของกำลังทางเรือที่ครบสมบูรณ์ทั้งมิติผิวน้ำ มิติเหนือน้ำ และมิติใต้น้ำ
ย้อนไปดูโครงการนี้นิดเดียว คือเมื่อปี 2560 กองทัพเรือได้ลงนามในสัญญากับบริษัท CSOC ของจีนให้ต่อเรือดังกล่าว แต่ติดปัญหาตรงที่ทางจีนไม่สามารถหาเครื่องยนต์ MTU396 ของเยอรมนีที่ระบุไว้ตามสัญญามาติดตั้งให้ได้ เนื่องรัฐบาลเยอรมนีไม่อนุมัติขายเครื่องยนต์ MTU 396 ให้จีนตามนโยบายของสหภาพยุโรปที่ควบคุมการส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์ ที่ประกาศเมื่อปี 2562
ตรงนี้แหละที่ทำให้การต่อเรือต้องหยุดชะงักไปในช่วงปี 2564 ทางจีนได้เสนอให้ใช้เครื่องยนต์CHD620 ที่ผลิตในจีนแทน ซึ่งฝ่ายไทยได้ใช้เวลาพิจารณา ก่อนเห็นชอบแก้สัญญาเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์CHD620 ตามที่จีนเสนอในที่สุด ซึ่งปัจจุบันการต่อเรือดำน้ำทำไปแล้ว 64% จ่ายเงินไป 10 งวด จากทั้งหมด 18 งวด วงเงินรวม 7,700 ล้านบาท และยังคงค้างจ่าย 40% วงเงิน 5,500 ล้านบาท
อย่างที่บอกว่า มติคณะรัฐมนตรีนี้ออกมาถูกที่ถูกเวลานั้น เพราะบรรยากาศแบบนี้มีให้เห็นไม่บ่อยนักสำหรับในบ้านเรา นอกจากเห็นชอบทั้งสองโครงการใหญ่ของกองทัพที่เฝ้ารอมานานในวันเดียวกันแล้ว ยังแทบจะไม่มีเสียงต่อต้านเลยด้วยซ้ำไป ตรงกันข้ามกับเสียงส่วนใหญ่สนับสนุนการเสริมเขี้ยวเล็บเพิ่มแสนยานุภาพ ให้กับกองทัพไทยดังกระหึ่มไปทั้งสยามประเทศ
ทั้งนี้ เนื่องจากปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา จนนำไปสู่การทำสงครามย่อยๆ 4 วัน ตลอดแนวชายแดนระหว่างกองทัพไทยกับกองทัพกัมพูชานั้น ได้ทำให้ทุกฝ่ายมองเห็นถึงภัยคุกคามความมั่นคงของชาติจากผู้นำฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งไว้วางใจไม่ได้เลยแม้แต่นาทีเดียว ไม่รู้ว่าการปะทะ หรือสงครามเต็มรูปแบบจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่
สันดานโจรของผู้นำสองพ่อลูกกัมพูชาที่ผ่านมา ทำให้ตอนนี้คนไทยตื่นตัวและตระหนักถึงเภทภัยประเทศว่าน่ากลัวขนาดไหน และเราต้องเจ็บปวดสะเทือนใจอย่างไรกับความป่าเถื่อนของฝ่ายกัมพูชาที่ยิงจรวดเข้าใส่เป้าหมายทางพลเรือนจนคนไทยบาดเจ็บล้มตายนับสิบๆ ราย ยังไม่รวมกับข้อกล่าวหาต่างๆที่บิดเบือนใส่ร้ายประเทศไทยอย่างหน้าด้านๆ สารพัด
นี่เองจึงทำให้คนไทยรู้สึกยอมรับ และเต็มใจอย่างที่สุดที่จะให้กองทัพไปจัดซื้อหาอาวุธยุทโธปกรณ์ดีดีและทันสมัยในสงครามยุคใหม่เอาไว้ใช้ในยามเรามีภัย ยิ่งสถานการณ์ชายแดนยังเปราะบางอยู่แบบนี้ โอกาสที่จะเกิดปัญหาวิกฤตเหมือนที่ผ่านยังเป็นไปได้สูงไม่มีใครคาดเดาอะไรได้ ทั้งนั้น กับผู้นำสติวิปลาสอย่างฮุนเซน หรือ ฮุน มาเนต
ลองคิดดูในทางกลับกัน หากต่อไปในวันข้างหน้า กองทัพกัมพูชามีอาวุธสมัยใหม่ขึ้นมาบ้าง สถานการณ์ในอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่เชื่อว่ามันจะไม่ใจดีรบแบบสภาพบุรุษอย่างเราแน่นอน ฉะนั้นความเข้มแข็งของกองทัพคือความมั่นคงของชาติไทย เชื่อว่าเงินภาษีทุกบาททุกสตางค์ที่นำไปซื้ออาวุธเพื่อรักษาผืนแผ่นดินไทยไว้ให้ลูกหลานสืบต่อไปนั้น สำหรับประชาชนแล้วพร้อมจ่ายเพื่อชาติอย่างภาคภูมิใจ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี