ไม่ใช่เฉพาะคนไทย ที่สับสนว่าความขัดแย้งไทย-กัมพูชาเกิดจากความขัดแย้งของสองตระกูล หรือ เกิดจากความอ่อนแอไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลทั้งสองฝ่าย ทำให้ความขัดแย้งสองตระกูลบานปลายกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างประเทศ
รัฐมนตรีต่างประเทศสิงคโปร์ถึงได้ตำหนิว่า ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา เกิดจากวุฒิภาวะของผู้นำ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง แม้แต่ที่สื่อต่างชาติอย่าง The Economist หลังจากฟังความทั้งสองฝ่ายแล้วก็ยังไม่มีใครสามารถบอกได้ถึงสาเหตุแห่งสงคราม
สื่อระดับโลกรายนี้ จึงสรุปด้วยการพาดหัวว่า “Senseless war” “สงครามที่ไร้เหตุผล” หรือพูดอย่างตรงๆ ว่า “สงครามไร้สาระ”
ความขัดแย้งรุนแรง ที่เป็นเหตุให้มีคนตายหลายพันราย ถึงแม้ฝ่ายกัมพูชาไม่ยอมรับความการสูญเสียของทหาร คนที่ติดตามสถานการณ์รัฐบาลพรรคเพื่อไทยกับรัฐบาลพรรคประชาชนกัมพูชามาแต่ต้น ย่อมรู้ถึงความไร้สาระของรัฐบาลทั้งสองประเทศดีกว่า The Economist
คนไทยหลายล้านคนรู้ตั้งแต่ต้นว่า มีสหายทั้งสองฝ่ายสมคบกันสร้างสถานการณ์ขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อให้อีกฝ่ายสร้างลูกชายให้ “บุรุษเหล็กผู้ยิ่งใหญ่แห่งกัมพูชา” นอกจากนั้นยังมีวาระแฝงเร้นเรื่องเขตแดนที่มีเป้าหมายลากเส้นจากสันปันน้ำบนเทือกเขาพนมดงรักไปถึงแหล่งน้ำมันในทะเลอ่าวไทย
ซึ่งสองสหายเชื่อว่าหากเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายยึดเขตแดนบางส่วนได้ ผลประโยชน์มโหฬารจากแหล่งน้ำมันในอ่าวไทย เงินมหาศาลก็ไหลเข้ากระเป๋าสหายทั้งสองฝ่าย แต่ทหารไทยผู้รักชาติและปกป้องอธิปไตย รู้ทันแผนการชั่วร้ายของผู้นำจิตวิญญาณรัฐบาลพรรคเพื่อไทย และทรราชผู้ยิ่งใหญ่แห่งกัมพูชา ทหารไทยจึงไม่ยอมเสียดินแดนให้กับแผนการชั่วร้ายของสหายขายชาติ
ตอนที่ความขัดแย้งที่คุกรุ่นขึ้นมาใหม่ๆ ผู้นำจิตวิญญาณพรรคเพื่อไทยพยายามปรามทหารไทยว่า พื้นที่ขัดแย้งที่ช่องบกเป็น No Man’sland อะไรหยวนๆกันได้ก็ทำความเข้าใจกัน ทำให้พื้นที่ตรงนั้นเป็นสนามเล่นตะกร้อร่วมกัน ส่วนนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตรก็พูดว่า “กัมพูชาลากเส้นเขตแดนอ้อมเกาะกูดของไทย ส่วนพื้นที่ทับซ้อนถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ให้แบ่งทรัพยากรใต้ทะเล (น้ำมัน) กัน 50-50”
คำพูดของ น.ส.แพทองธารและบิดาเธอนั้น ดังไปถึงหูและอยู่ในสายตารัฐพันลึก (Deep State) และกองทัพไทย และเมื่อนายกรัฐมนตรีไทยไม่สามารถขัดขวางยุทธวิธีและมาตรการเข้มงวดชายแดนของกองทัพไทยได้ ฮุนเซน จึงฉุนเฉียวที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ไม่สามารถสั่งให้กองทัพไทยหยุดตอบโต้การยั่วยุของเขมรได้
สองสหาย จึงพูดคุยปลอบใจกันทางโทรศัพท์ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เมื่อรู้ว่า การพูดกันทางโทรศัพท์ เป็นประโยชน์สำหรับทำโฆษณาชวนเชื่อในกัมพูชาเลยนำการพูดคุยทางโทรศัพท์ ไปโพสต์บนเฟซบุ๊กส่วนตัว
นายกรัฐมนตรีแพทองธาร เลยโพสต์อินตราแกรมว่า“นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต” ไม่เป็นมืออาชีพที่นำการสนทนากันสองคนไปโพสต์เฟซบุ๊ก เผยแพร่ต่อสาธารณะอินสตราแกรมของน.ส.แพทองธารทำให้ฮุนเซน โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ที่ลูกสาวสหายในเมืองไทย ตำหนิลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่ฮุนเซนกำลังสร้างภาพให้เป็นผู้นำยิ่งใหญ่
สงครามน้ำลายทั้งสองฝ่ายก็เริ่มขยายวงกว้างออกไปในเวลาเดียวกัน ทหารไทยก็เข้มงวดด่านชายแดนมากขึ้นทำให้รายได้หลักของกัมพูชาที่มาจากบ่อนการพนัน และฉ้อโกงหลอกลวงออนไลน์ตกวูบลงไปอย่างน่าใจหาย
วันที่ 15 มิถุนายน น.ส.แพทองธาร นายกรัฐมนตรีไทยโทรศัพท์ไปหาสมเด็จฮุนเซน บอกเป็นนัยว่า รัฐบาลไม่สามารถควบคุมทหารได้ตามที่ลุงฮุนเซนต้องการ วันที่ 18 มิถุนายน ฮุนเซน เลยปล่อยคลิปเสียงอัปยศออกมาเป็นเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้น.ส.แพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีจนกว่าศาลพิจารณาคดีเสร็จ
ความขัดแย้งในจุดนี้ เห็นด้วยกับรัฐมนตรีต่างประเทศสิงคโปร์ว่า เกิดจากวุฒิภาวะของผู้นำทั้งสองฝ่ายและเห็นด้วยกับ The Economist ว่า เป็นสงครามน้ำลายไร้สาระ
แต่ทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศสิงคโปร์และ The Economist ตื้นเขินเกินไปที่มองไม่เห็นความเลวร้ายของผู้นำจิตวิญญาณพรรคเพื่อไทย และทรราชกัมพูชา ที่สมคบกันสร้างความขัดแย้งเพื่อแบ่งปันผลประโยชน์และอธิปไตยของชาติให้กันและกัน สิงคโปร์ และ The Economist ไม่เข้าใจว่านี่คือสงครามยิ่งใหญ่ เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติที่ Deep State และกองทัพไทยยอมเสียไม่ได้แม้แต่ตารางนิ้วเดียว
หากสิงคโปร์ และ The Economist ไม่มีอคติต่อประเทศไทย พวกเขาต้องเข้าใจว่า นี่คือสงครามอันยิ่งใหญ่ ที่กองทัพไทยทำให้กัมพูชาพ่ายแพ้ราบคาบทั้งในสมรภูมิรบและในเวทีโลก ในเวลาเดียวกันกองทัพไทยยังสามารถทำลายตระกูลขายชาติให้ล่มสลายลงได้ในเวลาไม่ช้าไม่นาน
สถานการณ์ชายแดนยังคงตึงเครียด เมื่อ ทหารร้อย.ร.111 เหยียบกับระเบิด ขณะลาดตระเวนเส้นทางเพื่อวางลวดหนามป้องกันพื้นที่ รอยต่อ โดนเอาว์-กฤษณา บริเวณภูมะเขือ จ.ศรีสะเกษ เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 9 สิงหาคม โดยมี จ.ส.อ.ธานี พาหา เป็นหัวหน้าชุด และกำลังพล 2 นาย ระหว่างตรวจสอบเส้นทางได้เหยียบกับระเบิด เป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 3 นาย
กับระเบิดครั้งนี้สะท้อนให้เห็นความล้มเหลวของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่ทำข้อตกลงหยุดยิงในขณะที่กองทัพกัมพูชากำลังจะล่มสลาย และตกลง 13 ข้อที่กัมพูชามีแต่ได้ประเทศไทยเสียเปรียบทุกข้อ
กัมพูชาไม่ยอมรับข้อเสนอให้ทั้งสองฝ่ายเก็บทุ่นระเบิดในพื้นที่ขัดแย้ง และไม่ยอมรับข้อเสนอร่วมมือกันปราบไซเบอร์สแกม ซึ่งทั้งสองข้อนี้มีดาษดื่นในกัมพูชา หากยอมรับข้อเสนอเก็บกู้ระเบิดก็เท่ายอมรับว่า กัมพูชาละเมิดอนุสัญญาฮอตตาวา ว่าด้วย การวางระเบิด สะสมระเบิด และส่งต่อระเบิดสังหารบุคคล
นอกจากไม่ยอมรับข้อเสนอเก็บทุ่นระเบิดที่กัมพูขาวางไว้ ทรราช ฮุนเซน ยังปรับท่าทีโฆษณาชวนเชื่อใหม่เปลี่ยนจากการท้าทำสงคราม เป็นเรียกร้องสันติภาพฮุนเซน ขอให้สหรัฐ จีน และอาเซียน ห้ามไม่ให้กองทัพอากาศไทย ใช้เครื่องบิน F-16 และ กริพเพน ข้อเรียกร้องของฝ่ายกัมพูชาจึงเข้าข่ายไร้สาระของ The Economist ที่เรียกร้องให้กองทัพไทยชดใช้ค่าเสียหายที่ทำให้ทหารเขมรตาย
ทางฝ่ายรัฐบาลเพื่อไทยก็ถ่วงเวลาให้ประเทศเสียหายมากกว่านี้ โดยทำทีเป็นฟ้องฮุนเซน ที่สร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สินพลเรือน ทำลายโรงพยาบาลปั้มน้ำมัน ร้านสะดวกซื้อ และบ้านเรือนประชาชน ตลอดถึงทำให้พลเรือนบาดเจ็บล้มตาย ทั้งๆ ที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยตระหนักดีว่าไม่มีผลในทางปฏิบัติตามกฎหมาย
จึงมีคำถามว่า ทำไมรัฐบาลพรรคเพื่อไทยไม่ให้เอกอัครราชทูตไทยประจำสหประชาชาติ ร้องเรียนสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ UNSC ให้ฟ้องฮุนเซน และกองทัพกัมพูชาเป็นอาชญากรสงคราม คำร้องของประเทศไทยอาจไปไม่ถึงศาลอาญาระหว่างประเทศ อย่างน้อยเวทีโลกก็ได้ตราหน้าว่า ฮุนเซน เป็นอาชญากรสงคราม
นอกจากนั้น รัฐบาลพรรคเพื่อไทย แถลงหน้าชื่นตาบานว่าการประชุม เจบีซี ในประเทศมาเลเซียได้ข้อสรุปตามความคาดหมาย รัฐบาลเพื่อไทยแสดงธาตุแท้ออกมา ตั้งแต่ประชุมหยุดยิงแล้วว่า รัฐบาลเพื่อไทยจงใจถ่วงเวลาให้ประเทศชาติเสียหายมากกว่านี้
การถ่วงเวลาให้ประเทศไทยเสียหาย สิ่งแรกคือ รัฐบาลปล่อยให้ตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมว่าง ในห้วงเวลาที่กองทัพไทยปะทะกับอริราชศัตรูโดยไม่มีผู้บังคับบัญชาตามกฎหมาย
ถ่วงเวลาประเทศไทย อันดับสอง คือ นายกรัฐมนตรีที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ผู้ถูกร้องใช้ช่องว่างกฎหมายขอเลื่อนเวลาส่งคำชี้แจงต่อศาลฯถึงสองครั้ง ซึ่งยืดเวลาอายุรัฐบาลเป็ดง่อยไปได้ไม่น้อยกว่า 30 วัน
ในห้วงเวลาที่ประเทศมีวิกฤตรอบด้านการยื้อเวลาเพื่อประโยชน์ตนเพียงหนึ่งสัปดาห์อาจทำให้ประเทศชาติเสียหายยากจะฟื้นฟูได้
หากนายกรัฐมนตรี มีความปรารถนาดีต่อประเทศชาติเหลืออยู่บ้าง และมั่นใจว่าเธอทำความดีเพื่อชาติ น.ส.แพทองธารต้องรีบให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดีให้เร็วที่สุด เพื่อพิสูจน์ว่าเธอไม่ได้ทำความผิดตามข้อกล่าวหา แต่การถ่วงเวลาให้ศาลพิจารณาคดีล่าช้า จึงพูดได้ว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทยถ่วงเวลาให้ประเทศเสียหายมากกว่านี้
นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรี ที่คนไทยจำนวนมากสงสัยว่า เป็นไส้ศึกหรือไม่?นายภูมิธรรมปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่ง สทร. หรือไม่? นายภูมิธรรมต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า เขาได้ละทิ้งเป้าหมายทำลายประเทศไทย ตั้งแต่ออกจากป่ามารับใช้นักธุรกิจการเมืองทุนสามานย์แล้ว
จึงกล่าวได้ว่า กับระเบิดที่ทำให้ทหารไทยบาดเจ็บสามนาย เพียงสองวัน หลังจากประชุมกรรมการทั่วไปไทย-กัมพูชา เป็นสัญญาณอันตราย ที่ทำให้รัฐบาลพรรคประชาชนกัมพูชาและรัฐบาลพรรคเพื่อไทยไม่เป็นที่ไว้วางใจของประชาชนสองประเทศอีกต่อไป
นอกเหนือจากนั้นยังเป็นสัญญาณว่าตระกูลฮุน กับ ตระกูลชินจะล่มสลายทางการเมืองในเร็ววัน
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี