วันพุธ ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2568
นักวิชาการที่ดี มีจรรยาบรรณ ต้องทำหน้าที่ให้ความรู้ ข้อเท็จจริง และให้ปัญญากับสังคมได้ โดยการสร้างองค์ความรู้ใหม่ที่ให้ประโยชน์กับสาธารณะ โดยองค์ความรู้ใหม่ต้องมาจากการค้นคว้า ทดลอง วิจัย โดยอาจจะอ้างอิงจากแนวคิดทฤษฎีเดิม หรือจากแนวคิดใหม่ที่ตนเองสามารถพัฒนาให้กลายเป็นทฤษฎีใหม่ในอนาคต
แน่นอนว่านักวิชาการ (scholar) ไม่จำเป็นต้องเป็นนักปฏิบัติ (practitioner) เนื่องจากนักปฎิบัติคือผู้นำความรู้ที่คิดค้นได้จากเหล่านักวิชาการแล้วนำไปทำจริงปฏิบัติจริง โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ของสังคมได้อย่างมีหลักเกณฑ์ และเป็นรูปธรรม
นักวิชาการที่ดีต้องไม่เพ้อเจ้อ เลื่อนลอย เรื่อยเจื้อยช่างจำนรรจา หรือดีแต่พูดพล่ามไปเรื่อยๆ โดยหาแก่นสารสาระมิได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่พูดเฉพาะเรื่องที่ทำได้จริงแม้บางครั้งสังคมจะอนุญาตให้นักวิชาการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องราวต่างๆ ได้ แต่ก็มิได้หมายความว่าสังคมจะยอมทนให้นักวิชาการวิพากษ์วิจารณ์แบบเพ้อเจ้อราวกับคนเสียสติ
สังคมที่เจริญแล้วไม่สามารถขาดนักวิชาการและนักปฏิบัติได้ เพราะทั้งสองส่วนนี้มีผลซึ่งกันและกัน เพราะหากมีแต่นักวิชาการ โดยไม่มีนักปฏิบัติ สังคมนั้นก็จะตกอยู่ในสภาพเลื่อนลอย เพ้อฝัน แต่หากมีเฉพาะนักปฏิบัติ โดยไม่มีนักวิชาการก็จะทำให้สังคมนั้นเกิดความวุ่นวาย เพราะนักปฏิบัติการอาจจะใช้การลองผิดลองถูก หรือเดาสุ่มไปเรื่อยๆ โดยไม่มีหลักเกณฑ์ในการคิด และการปฏิบัติงาน
เมืองไทยมีนักวิชาการหรือไม่ ตอบว่ามี ถามต่อไปว่า แล้วนักวิชาการไทยมีประโยชน์ต่อสังคมไทยหรือไม่ ตอบว่าบางคนก็มีประโยชน์ แต่บางคนก็หาประโยชน์มิได้แม้แต่น้อย โดยเฉพาะนักวิชาการจำพวกเพ้อพล่าม หรืออยู่ในโลกแห่งความลวงหลอก
อย่าลืมว่าการค้นคว้าและการทดลองใดๆ โดยนักวิชาการ นับเป็นเรื่องสำคัญมากกับการสร้างสติปัญญาให้กับสังคม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าการทดลอง และการค้นคว้านั้นสามารถใช้ได้จริงกับแต่สังคมหรือไม่ เพราะเรื่องบางเรื่องก็ใช้ได้กับบางสังคมเท่านั้น เพราะบริบทของสังคมแต่ละแห่งแตกต่างกันอย่างมาก ดังนั้น จึงไม่มีใครยืนยันได้ว่าผลของการวิจัยบางอย่างจะใช้ได้กับทุกสังคม เพราะคนในแต่ละสังคมมีความต่างกันในแง่ของกายภาพ และความนึกคิด รวมถึงวิถีประจำวันของคนแต่ละสังคมก็ต่างกันไป แต่ถ้าหากเป็นนักวิชาการที่ดีที่เคร่งครัดในหลักวิชาการแล้ว ก็จำเป็นต้องระบุให้ชัดว่างานวิจัยของตนเองนั้นเหมาะกับสังคมใด หรือใช้ได้จริงกับสังคมใด ขอย้ำว่าผลงานวิจัยชิ้นใดชิ้นหนึ่งไม่สามารถใช้อย่างเหมาะสมกับทุกๆ สังคม
กลับไปถามอีกทีว่าสังคมไทยมีนักวิชาการหรือไม่ ตอบว่ามี แต่ก็ต้องย้ำเหมือนเดิมว่านักวิชาการไทยจำนวนไม่น้อยมีนิสัยเพ้อเจ้อ พูดพล่าม หาสาระที่แท้จริงมิได้บางคนดีแต่พูด พูดในเรื่องที่ไม่สามารถทำได้จริง หรือพูดในเชิงเพ้อฝัน แต่ขอย้ำว่าการเพ้อฝันไม่ใช่จินตนาการ เพราะเรื่องเพ้อฝันคือสิ่งที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริงในชีวิตของมนุษย์ปกติ แต่จินตนาการคือสิ่งที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ แต่จำเป็นต้องใช้ความคิด ผสมผสานกับการลงมือทำอย่างจริงจัง และมุมานะอย่างต่อเนื่อง ไม่ยุติก่อนประสบผลสำเร็จ แล้วที่สำคัญคือจินตนาการต้องอยู่บนหลักคิดทฤษฎี ใช้ทฤษฎีเป็นกรอบการคิดค้น แล้วลงมือกระทำไปพร้อมๆ กัน ซึ่งสุดท้ายจะให้ผลลัพธ์ที่ต้องการได้ แม้ในหลายต่อหลายครั้งผลลัพธ์จะยังไม่เป็นไปตามที่ต้องการ แต่เมื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้หมดสิ้นแล้ว ก็จะได้ผลลัพธ์ตามที่มุ่งหวังไว้
ขอย้ำว่านักวิชาการที่แท้จริงคือนักคิดค้น นักทดลอง และต้องเรียนรู้จากภาคปฏิบัติควบคู่ไปด้วย ดังนั้น นักวิชาการจึงไม่ใช่คนที่พล่ามไปเรื่อยโดยลอกเลียนตำรา ความคิด หรืองานวิจัย และทฤษฎีของคนอื่น
เมืองไทยมีนักวิชาการกำมะลอเยอะแยะมากมากท่วมท้น และหลายคนก็ดันได้ตำแหน่งศาสตราจารย์ แต่ก็เป็นจำพวกศาสตราจารย์เพ้อเจ้อเลื่อนลอยเคว้งคว้าง ที่หาสาระสำคัญของงานไม่ได้แม้แต่น้อย คนจำพวกนี้ชอบพล่ามไปเรื่อยเปื่อย โดยไม่ได้อยู่บนพื้นฐานความจริงที่กำลังบังเกิดในสังคม
ตัวอย่างเช่น สาธารณชนได้พบเห็นความเพ้อเจ้อ ช่างจำนรรจาฉอเลาะของคนสอนหนังสือรายหนึ่งจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยเขาคนนั้นบอกว่าการที่ไทยปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลเสียต่อการทำธุรกิจของทั้งสองประเทศ รวมถึงส่งผลเสียให้กับนักธุรกิจต่างชาติที่เข้ามาทำธุรกิจในไทยและกัมพูชา อีกทั้งส่งผลเสียต่อการค้าขายระหว่างไทยกับกัมพูชา
เรื่องที่คนสอนหนังสือรายนั้นพูดเป็นความจริง เพราะเรื่องนี้ใครๆ ก็รู้อยู่แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องทำอาชีพเป็นคนสอนหนังสือในมหาวิทยาลัย แต่ปัญหาก็คือแล้วคนสอนหนังสือรายดังกล่าวรู้ไหมว่ากัมพูชาใช้กำลังทหารและอาวุธสงครามโจมตีไทย และประสงค์ต่อเขตแดนของไทย ซึ่งหมายถึงอธิปไตยของประเทศไทย
คำถามที่ต้องถามต่อไปกับคนสอนหนังสือรายดังกล่าวคือ ทำอย่างไรจึงจะทำให้กัมพูชายุติการโจมตีไทย หรือรุกรานไทย ทำอย่างไรจึงจะทำให้ทหารกัมพูชาไม่เข้ามาลอบวางกับระเบิดในเขตแดนไทย แล้วทำอย่างไรจึงจะทำให้ฮุนเซน และฮุน มาเนต แห่งกัมพูชายกเลิกการนำเรื่องเขตแดนไทยไปขึ้นศาลโลก แน่นอนว่าฝ่ายกัมพูชาต้องอ้างว่าดินแดนที่เขานำเรื่องไปฟ้องศาลโลกคือดินแดนของเขา แต่ในขณะที่ฝ่ายไทยยืนยันหนักแน่นว่าดินแดนที่กัมพูชาอ้างสิทธิ์เหนือนั้นเป็นของไทย
สำหรับคนไทยโดยทั่วไปต่างบอกตรงกันว่าทางการไทย ซึ่งหมายถึงรัฐบาลไทยต้องไม่ยอมให้ไทยเสียดินแดนของประเทศไปแม้แต่ตารางเซนติเมตรเดียว แล้วถ้าจำเป็นต้องทำสงครามเพื่อรักษาผลประโยชน์อันชอบธรรมของไทย รัฐบาลไทยก็จำเป็นต้องประกาศสงครามเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของไทยเอาไว้ แต่หากไปถามคนสอนหนังสือรายหนึ่งในคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ (รายที่บอกว่าการปิดพรมแดนไทย-กัมพูชาส่งผลเสียต่อไทย) ก็จะได้คำตอบว่า ไทยควรจะต้องเปิดพรมแดน เพราะการปิดพรมแดนทำให้ต่างชาติ (ญี่ปุ่น) ที่เข้ามาลงทุนในไทยต้องสูญเสียรายได้ แล้วหากเป็นเช่นนี้ต่อไปในอนาคต ก็จะไม่มีนักลงทุนต่างชาติคนไหนเข้ามาลงทุนในไทยอีก
เมื่อได้ฟังคำพูดพล่ามของคนสอนหนังสือรายนั้นแล้ว ก็ทำให้คนไทยทั้งประเทศต้องกลับมาถามตัวเองว่าระหว่างอธิปไตยของประเทศไทย กับผลประโยชน์เชิงเศรษฐกิจของประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทย (หมายถึงญี่ปุ่น) รัฐบาลไทยและคนไทยจะเลือกอะไรเป็นลำดับแรก
ผู้เขียนมั่นใจว่าคนไทยส่วนใหญ่ต้องเลือกการรักษาอธิปไตยของชาติไทยเอาไว้ก่อนเป็นอันดับแรก ส่วนเรื่องอื่นๆ ต้องมาพิจารณากันในลำดับถัดไป แต่ทว่าจากการติดตามความเห็นของคนสอนหนังสือรายนั้น ปรากฏว่าเขาต้องการให้เปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาก่อน โดยอ้างว่าเพราะรัฐบาลไทยไปตกลงทำสัญญากับนักลงทุนชาวญี่ปุ่นไว้แล้ว หากไทยปิดด่านจะส่งผลกระทบต่อนักธุรกิจญี่ปุุ่น
ถามว่า ทำไมคนสอนหนังสือรายนั้นไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องอธิปไตยของประเทศไทย ทำไมจึงเร่งรัดให้ไทยเปิดด่านพรมแดนไทย-กัมพูชา ถามต่อไปว่าคนสอนหนังสือรายนั้นไม่สนใจหรือว่ากัมพูชาจงใจโจมตีไทย แล้วจงใจยิงระเบิดใส่โรงพยาบาลของไทย รวมถึงยิงจรวดเพื่อทำลายบ้านเรือนของคนไทย และยังมีคำถามอีกมากมายว่าคนสอนหนังสือรายนั้นไม่เคยดูข่าวที่นำเสนอให้เห็นชัดว่ากัมพูชาทำให้ประเทศไทยและคนไทยได้รับผลกระทบด้านลบมากมายมหาศาล รวมถึงเรื่องที่กัมพูชาเป็นแหล่งค้ามนุษย์ และ scammer ที่ส่งผลกระทบด้านลบอย่างรุนแรงต่อชาวโลก
อันที่จริงนั้นเมืองไทยน่าสงสารมาก เพราะมีนักการเมืองก็มีแต่จำพวกโง่เขลาเบาปัญญา ยากเย็นเหลือเกินที่จะมีนักการเมืองฉลาดมีสมองมีสติปัญญาที่สมบูรณ์ ครั้นมีคนสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยที่เรียกกันว่านักวิชาการ ก็ดันมีนักวิชาการจำพวกพล่ามเพ้อละเมอบ้าเป็นจำนวนมิใช่น้อย
งานการเมืองของไทยจึงเลวๆ เละเทะ ไร้สาระ ส่วนงานวิชาการของไทยก็ดูเหมือนจะดี แต่เอาเข้าจริงๆ ก็เละเหลว โดยดูชัดๆ จากงานวิจัยของไทยยังมีน้อย แต่ที่แน่กว่าน้อยคือห่วยแตก หาสารประโยชน์แท้จริงไม่ได้ หลายคนอ้างว่ามีงบฯ สำหรับวิจัยน้อย แต่จริงๆ ไม่น้อยเท่าไร แต่ที่น้อยคือสมองของคนทำวิจัย แต่ก็น่าสมเพชหนักเข้าไปอีกคือบางคนทำวิจัยบ้าๆ บอๆ แต่ก็ดันได้เป็นศาสตราจารย์ เมื่อคนบางคนน่าจะมีข้อบกพร่องทางสติปัญญาและอ่อนด้อยในเรื่องความเป็นจริงของสังคมดันได้เป็นศาสตราจารย์ สังคมไทยจึงมีศาสตราจารย์เพ้อพล่ามช่างจำนรรจาไม่น้อย น่าสมเพชสังคมไทยเหลือเกิน

ผบ.ตร.ย้ำเด็ดขาดไม่เอาไว้ ตัดนิ้วร้าย รองผู้กำกับการ พัวพันบัญชีม้า
'หงส์ไทย'ยอมรับ! เรียกคืน2แสนกระปุก สมุนไพร'ผิดมาตรฐาน'ทันที พร้อมคืนเงินเต็มจำนวน
‘ในหลวง-พระราชินี‘ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพ 'พระพันปีหลวง' วันที่ 3
คุม 2 ผู้ต้องสงสัย เหตุลอบวางระเบิดเส้นทางรถไฟระแงะ นราธิวาส
‘หยู’แชมป์โลก!ต้อนโสมขาด-ขึ้นแท่นจอมเตะไทยคนที่6

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี