การหนีคดีออกจากประเทศไทยเป็นเรื่องที่เรียกได้ว่าปกติธรรมดามากสำหรับทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ทำสถิติหนีคดีจากประเทศไทยได้เยี่ยมยอดมาก เพราะหนีคดีได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 4 กันยายน 2568 มีข่าวว่าทักษิณเตรียมจะนั่งเครื่องบินส่วนตัวบินไปหัวหิน ซึ่งเมื่อข่าวนี้หลุดออกมา ก็ทำให้คอการเมืองที่รู้จักทักษิณดีต่างพูดตรงกันว่า งานนี้กูว่าบินหนีออกนอกประเทศชัวร์
แล้วหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงก็มีข่าวว่าทักษิณขึ้นเครื่องบินส่วนตัวบินออกจากสนามบินดอนเมือง โดยข่าวช่วงแรกบอกว่าจะไปสิงคโปร์ แต่แล้วก็มีคำยืนยันสุดท้ายว่าเครื่องบินไปลงที่ดูไบ
ตอนแรกมีคำถามว่าทักษิณบินไปกับใครบ้าง ข่าวที่ออกมาแรกๆ ก็ค่อนข้างมั่วมาก เพราะไม่มีใครให้ข้อมูลชัดเจน จึงมีการรายงานว่าไปกับคนในครอบครัว คือลูกๆ ทั้งสามคน แต่สุดท้ายมีการยืนยันว่าไปกับคนใกล้ชิด เช่น bodyguard คนรับใช้ แม่บ้าน คนครัว โดยมีรายชื่อ ดังนี้ สมหล้า จรัสแพรว ธวัชชัย เคลือบเมฆ ประเทือง
มอญชัยภูมิ แก้วใจ สิงห์ทอง และทักษิณ ชินวัตร
ก่อนอื่นต้องบอกว่าการบินหนีคดีไปดูไบในครั้งนี้ได้ถูกเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะต้องไม่ลืมว่าการบินออกจากประเทศหนึ่งไปอีกประเทศหนึ่งต้องทำแผนการบิน (flight plan) ล่วงหน้า และไม่สามารถบินเหนือน่านฟ้าของประเทศอื่นๆ ได้ หากไม่ได้รับอนุญาต มิฉะนั้น เครื่องบินที่บินละเมิดน่านฟ้าของประเทศอื่นอาจถูกยิงตกได้
ถามว่าทำไมทักษิณต้องหนีไปต่างประเทศอีก ตอบได้ง่ายๆ ชัดๆ ตรงประเด็นว่า เพราะทักษิณรู้ตัวดีว่าตนเองไม่สามารถมีอำนาจรัฐในกำมืออีกต่อไป เมื่อรู้แน่ชัดว่าพรรคประชาชนไม่ร่วมมือกับพรรคเพื่อไทยในการโหวตให้ ชัยเกษม นิติสิริ จากเพื่อไทยรับตำแหน่งนายกรัฐนตรี ดังนั้น ก็จึงหมายความว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ต้องเป็นของอนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย
แล้วก็ต้องไม่ลืมว่าทักษิณทิ้งไพ่ประกาศแล้วว่าไม่ต้องการให้พรรคภูมิใจไทยได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งก็เท่ากับประกาศกลายๆ ว่าไม่ต้องการให้พรรคภูมิใจไทยได้ตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลที่พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ แล้วมีแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีหุ่นกระบอกที่ถูกทักษิณเชิด
เรื่องนี้ทำให้พรรคภูมิใจไทยไม่พอใจมาก แต่ยังคงทนเก็บอาการและความแค้นเอาไว้ จนกระทั่งเมื่อฮุนเซน แห่งกัมพูชา ผู้เป็นเกลอเก่าที่ทักษิณต้องเข้าไปพึ่งพาอาศัยอยู่เป็นประจำ ทิ้งไพ่ใบเด็ดด้วยเสียงคลิปสนทนา uncle กับหลานอิ๊งค์ ออกมาเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ทำให้รัฐนาวาที่ทักษิณใช้ให้แพทองธารทำหน้าที่หุ่นกระบอกควบคุมเรือเกิดอาการเอียงวูบจนใกล้อับปาง ในวันนั้นพรรคภูมิใจไทยก็กระโดดออกจากรัฐนาวาที่เพื่อไทยบงการอยู่โดยพลัน เพราะเห็นว่ารัฐนาวาลำนี้ไม่สามารถแล่นต่อไปได้ แต่การคาดการณ์ของภูมิใจไทยก็ยังไม่ประสบผลตามคาดโดยทันที เพราะทักษิณยังคงพยายามประคองรัฐนาวาไว้ไม่ให้ล้มโดยพลัน แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องยากมากที่ทักษิณจะแก้เกมการเมืองนี้ได้ เพราะสุดท้ายแล้วรัฐนาวาที่ทักษิณบงการก็เอียงหนักกว่าเดิม เมื่อแพทองธารถูกศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะมีความผิดเรื่องจริยธรรมอย่างร้ายแรง
เมื่อหุ่นเชิดของทักษิณชื่อแพทองธารมีอันเป็นไปทางการเมือง ก็หมายความว่าอำนาจรัฐในมือของทักษิณหลุดลอยไปแล้ว การจะหวังให้ ภูมิธรรม เวชยชัย คนสนิทของทักษิณกอบกู้สถานการณ์ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ แล้วยิ่งเมื่อทักษิณเห็นชัดว่าอนุทินจะได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ต่อจากแพทองธารแน่นอนแล้ว ทักษิณก็จึงตัดสินใจขึ้นเครื่องบินส่วนตัวหนีออกจากประเทศไทยไปอยู่ดูไบดังเดิม เพราะที่ดูไบนั้นยังเป็นฐานที่มั่นของทักษิณ เพราะมีคฤหาสน์และมีทรัพย์สินอยู่
ถามว่าทักษิณหนีไปแล้วจะกลับไทยอีกหรือไม่ ตอบว่า ยังไม่กลับง่ายๆ และอาจจะไม่กลับมาอีกเลย เพราะน่าจะต้องหนีคดีไปอีกนานแสนนาน โดยอาจจะไม่ได้กลับไทยอีกตลอดชีวิต หากผลการตัดสินของศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เรื่องอาการป่วยเท็จของทักษิณที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ไม่เป็นคุณกับทักษิณ หรือพูดง่ายๆ คือหากศาลฎีกาฯ พิพากษาให้ทักษิณต้องกลับเข้าไปรับโทษในคุก เพราะว่าที่ผ่านมานั้นทักษิณไม่เคยเข้าไปรับโทษในคุกแม้แต่วันเดียว แต่กลับสร้างเรื่องลวงโลกว่าป่วยหนักจนใกล้ตาย แล้ววางแผนโดยใช้อำนาจต่างๆ ที่ทักษิณมี เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของราชทัณฑ์ส่งตัวเองไปรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ แล้วสมคบคิดกับหมอบางคนในโรงพยาบาลตำรวจ เพื่อให้มีข้ออ้างว่าต้องพักรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลตำรวจนาน 6 เดือน แล้วเมื่อได้รับการพักโทษ ทักษิณก็เริงร่าติดปีกโบยบินไปไหนต่อไหน ขึ้นเหนือล่องใต้ แถมยังเดินสายพูดบนเวทีการเมืองต่างๆ นานาตลอดเวลา โดยไม่สนใจว่าจำเป็นต้องทำตัวให้แนบเนียนว่าตนเองเคยอ้างว่าป่วยหนักจนใกล้ตาย แต่ทว่าทักษิณกลับแสดงอาการเริงร่าเหมือนคนปกติทุกประการ ซึ่งมันผิดหลักความจริงของคนป่วยใกล้ตายที่ต้องนอนในห้อง ICU นานถึง 180 วัน
การบินหนีคดีออกจากไทยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน 2568 คือเครื่องยืนยันว่าทักษิณวางแผนหนีไว้นานแล้ว โดยรอดูว่าพรรคเพื่อไทยจะได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล แล้วมีชัยเกษมเป็นนายกรัฐมนตรีหุ่นกระบอกของทักษิณหรือไม่ เมื่อความจริงบังเกิดแจ่มชัดว่าชัยเกษมไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทยต้องกลายไปเป็นฝ่ายค้าน จึงทำให้ทักษิณตัดสินใจบินหนีออกจากไทย เพราะหากอยู่ต่อไปก็จะต้องติดคุกอย่างแน่นอน เพราะทักษิณรู้ดีว่าตนเองได้รับพระราชทานอภัยโทษมาแล้ว แต่ตนเองกลับจงใจมดเท็จ และละเมิดพระราชอำนาจที่พระราชทานอภัยโทษให้แล้ว นั่นหมายความว่า ในที่สุดทักษิณอาจจะต้องติดคุกนานแปดปี ตามความผิดเดิมก่อนได้รับพระราชทานอภัยโทษ
ทักษิณไม่ห่วงครอบครัวหรือ ทำไมไม่หอบลูกเมียหนีตามไปด้วยพร้อมกัน ตอบได้ว่า ทักษิณต้องไม่เป็นห่วงอะไรเลย เพราะลูกเมียทักษิณสามารถบินไปหาทักษิณได้ตลอดเวลา แล้วที่สำคัญตอนนี้ขณะนี้ลูกเมียทักษิณไม่มีคดีความใดที่ต้องรับผิดจนถึงกับต้องติดคุก เพราะฉะนั้น ก็ไม่จำเป็นที่ลูกเมียทักษิณต้องรีบหนีไปพร้อมกับทักษิณ แล้วที่สำคัญคือทักษิณรู้ดีว่าไม่มีวันที่ทางการไทยจะตามจับตัวทักษิณกลับมาลงโทษได้อย่างแน่นอน เพราะอดีตนักโทษชายผู้นี้มั่นใจมากๆๆ ว่าไม่มีวันที่หน่วยงานรัฐของไทยหน่วยไหนจะมีปัญญานำตัวเขากลับมาลงโทษในไทยได้อย่างแน่นอน อย่าลืมว่าแม้ประเทศไทยจะมีรัฐบาลมาจากการรัฐประหาร ในสมัยประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ยังไม่สามารถนำตัวทักษิณกลับมาลงโทษได้ รวมถึงไม่สามารถนำตัวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับมาลงโทษได้ด้วย
ส่วนคำถามว่าแล้วทักษิณไม่ห่วงพรรคเพื่อไทย ไม่ห่วงคนเสื้อแดงหรือ ตอบได้ทันทีว่าไม่จำเป็นต้องห่วง เพราะพรรคเพื่อไทยยังน่าจะดำเนินกิจการการเมืองต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง ตราบเท่าที่ทักษิณยังให้เงินหล่อเลี้ยง แต่หากวันใดทักษิณยุติการให้เงินหล่อเลี้ยง พรรคเพื่อไทยก็ต้องสูญสลายหายไปอย่างแน่นอน ส่วนคำอ้างที่ว่าพรรคเพื่อไทยมีสมาชิกหลายล้านคน ก็เป็นเพียงคำอ้างเท่านั้น เพราะสมาชิกพรรคเพื่อไทยก็ย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจว่าพรรคนี้คือพรรคการเมืองของทักษิณ ไม่ใช่พรรคของสมาชิก แล้วหากจะถามว่า ภูมิธรรม เวชยชัย พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช จาตุรนต์ ฉายแสง อดิศร เพียงเกษ ก่อแก้ว พิกุลทอง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จักรภพ เพ็ญแข และสาวกทักษิณรายอื่นๆ จะอยู่อย่างไร เรื่องนี้ไม่มีอะไรน่าวิตก เพราะต้องอยู่กันเองให้รอดให้ได้ เนื่องจากทักษิณจะให้การดูแลต่อเมื่อคนเหล่านั้นยังสามารถให้บริการตามคำสั่งคำบงการของทักษิณได้เท่านั้น
ส่วนคนเสื้อแดงก็ต้องอยู่กันเอง เพราะทักษิณเคยประกาศแล้วว่า เมื่อเขาถึงจุดหมายปลายทาง ถึงฝั่งแล้ว เรือที่หมายถึงคนเสื้อแดงก็ไม่มีความสำคัญกับทักษิณอีกต่อไป แต่หากคนเสื้อแดงคนไทยยังรักใคร่อาลัยอาวรณ์ทักษิณ ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของคนเสื้อแดงเหล่านั้น แต่หากคนเสื้อแดงรายใดจะต้องการน้ำเลี้ยงจากทักษิณก็ต้องติดต่อขอกันเอาเอง แต่ย้ำว่าทักษิณนั้นเขาจะเลี้ยงเฉพาะคนที่เขาบงการและใช้งานได้เท่านั้น แต่เขาเลี้ยงเพียงแค่ครั้งเดียวแล้วจบกัน ไม่มีการเลี้ยงแบบชั่วฟ้าดินสลาย เพราะไม่ใช่สไตล์ทักษิณ
สรุปว่า ครั้งนี้ทักษิณไปแล้วน่าจะไปลับ ยกเว้นว่าศาลฎีกาฯ ไม่มีคำพิพากษาส่งทักษิณกลับเข้าคุก หากเป็นเช่นนั้นทักษิณก็น่าจะกลับมาอยู่ในสภาพนกเหงา เป็ดง่อยบนแผ่นดินไทย แล้วรอวันที่พรรคเพื่อไทยจะกลับมาครองอำนาจรัฐอีกครั้ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี