93 ปีนับตั้งแต่เปลี่ยนการปกครองในปี 2475 โดยคณะราษฎร..ที่ปล้นพระราชอำนาจพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว..รัชกาลที่ 7..และเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์..มาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญนั้น..ประเทศไทยก็ยังไปไม่ถึงไหน..มีแต่โจรการเมืองผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาโกงกิน..และปล้นเงินงบประมาณของแผ่นดิน
เรามีรัฐธรรมนูญมาทั้งหมด 20..นับตั้งแต่ฉบับแรก..ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว..ได้พระราชทานพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว..ให้เป็นกติกาการปกครองบ้านเมืองเป็นการชั่วคราวไปก่อน..ในวันที่ 27 มิถุนาย 2475..จนกระทั่งถึงปัจจุบัน..คือรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน..แม้จะถูกจัดทำขึ้นในสมัยรัฐบาล คสช.ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา..แต่ก็ได้ผ่านประชามติของประชาชน..เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2559..ด้วยความเห็นชอบถึง 16,820,402 เสียง..หรือ 16.82 ล้านเสียง..คิดเป็นร้อยละ 61.35 ของผู้ออกมาใช้สิทธิทั้งหมด 29,740,677 คน..หรือ 29.74 ล้านคน..โดยมีผู้ไม่เห็นชอบ 10,598,037 เสียง..คิดเป็นร้อยละ 38.65 ของผู้ออกมาใช้สิทธิ
อย่างไรก็ดี..การดิ้นรนอย่างกระเหี้ยนกระหือรือของนักการเมืองและพรรคการเมือง..เพื่อต้องการจะฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญฉบับนี้..โดยเฉพาะความพยายามของพรรคประชาชน..และพรรคเพื่อไทย..ที่อ้างว่ารัฐธรรมนูญปี 2560..เป็น“มรดกบาปของ คสช.”..และเป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่ได้มาจากประชาชน..ทั้งที่โดยข้อเท็จจริง..รัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบของประชาชน 16.82 ล้านเสียง
เหตุผลประการสำคัญที่พรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรคนี้..ต้องการฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันแล้วยกร่างฉบับใหม่..ก็เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับ“ปราบโกงนักการเมืองชั่ว”..ที่มีแผลเหมือนพวก“วัวสันหลังหวะ”
ยกตัวอย่างให้เห็น..ก็คือ..มาตรา 160 (4) และ (5)..เกี่ยวกับคุณสมบัติเรื่องความซื่อสัตย์และมาตรฐานทางจริยธรรมของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี..ซึ่งนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยโดนเล่นงานเหมือนสุนัขขี้เรื้อนถูกน้ำร้อนลวกไปแล้ว 2 คน..คือนายเศรษฐา ทวีสิน และ“แพทองธาร ชินวัตร”
ถ้าหากไม่มีรัฐธรรมนูญมาตรานี้บัญญัติไว้..“เศรษฐา ทวีสิน”ก็คงไม่กระเด็นตกจากเก้าอี้..เพราะไปตั้ง“ทนายถุงขนม-พิชิต ชื่นบาน”..ที่ขาดคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี..หรือแม้แต่“แพทองธาร ชินวัตร”..ที่ทำลายเกียรติภูมิและเกียรติยศศักดิ์ศรีของตนเองในฐานะนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย..ฐานเข้าข่ายว่า..คิดคดทรยศต่อชาติบ้านเมืองในการเป็น“ไส้ศึก”ให้เขมร
เป้าหมายโดยรวม..ของพรรคประชาชน..ที่ตลอด 2 ปีของการเป็นฝ่ายค้าน..ได้มีความพยายามอย่างไม่ลดละ..และหมกมุ่นอยู่กับการที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดย สสร.ให้ได้..ซึ่งคนทั่วไปเห็นว่า..พรรคประชาชนคิดว่า..ฝ่ายของตนจะได้รับเลือกเข้ามา..และสามารถร่างรัฐธรรมนูญได้ตามอำเภอใจนั้น..ก็เพื่อต้องการจะเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบัน..ดังที่พรรคก้าวไกลถูกยุบพรรคมาแล้ว
ขณะที่พรรคเพื่อไทย..ก็ต้องการจะล้างมลทินให้แก่นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร..เจ้าของคอกที่เป็นนักโทษคดีทุจริตมีชนักปักหลังอยู่.. เป็นเป้าหมายสำคัญ..เพื่อที่จะให้นักโทษที่มีประวัติอาชญากรผู้นี้..มีโอกาสได้หวนคืนกลับสู่อำนาจทางการเมืองอีกครั้ง..โดยคุณสมบัติไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ
ประเด็นแรก คือการฉีกทิ้งมาตรา 98 (7) ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับ“ปราบโกงนักการเมือง”ฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เกี่ยวกับสิทธิสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. โดยห้ามบุคคลที่ต้องโทษจำคุก..ซึ่งพ้นโทษไม่ถึง 10 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง..เว้นแต่ในความผิดที่ทำโดยประมาทหรือลหุโทษ..เพราะถ้าหากว่า..รัฐธรรมนูญไม่มีมาตรานี้บัญญัติไว้..ก็เท่ากับล้างป่าช้าให้มีเปรตได้ฟื้นคืนชีพ..ทั้งนี้.. ไม่แต่เพียง“ทักษิณ ชินวัตร”เท่านั้น..นักการเมืองจากทุกพรรคการเมืองที่มีประวัติอาชญากรติดตัว..ย่อมสามารถลงสมัครรับเลือกตั้ง สส.เพื่อเข้าสู่อำนาจได้หมดทุกคน
ประเด็นต่อมา..มาตรา 160 ซึ่งเป็น“ยาขม”ของนักการเมืองชั่ว..ที่ได้บัญญัติถึงคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของรัฐมนตรีไว้หลายประการดังที่กล่าวมาแล้ว..ว่านายเศรษฐา ทวีสิน กับ“แพทอง ธารชินวัตร”ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็เพราะมาตรานี้..และก็ด้วยความมีอยู่ของมาตรา 160 ทั้ง (4) และ (5)..จึงทำให้การแต่งตั้งบุคคลเข้าไปเป็นรัฐมนตรีต้องมีการพิจารณากันอย่างรอบคอบ..เช่นที่เห็นในช่วงเวลานี้..นักการเมืองบางคนเมื่อตนเองเป็นไม่ได้..ก็ให้ภรรยาให้บุตรและบุตรีเข้าไปเป็นแทนตามโควตา
เพราะฉะนั้น..ถ้ารัฐธรรมนูญไม่มีมาตรานี้บัญญติป้องกันไว้..นักการเมืองชั่วชนิดที่“โกงโคตร”ทั้งหลาย..ก็สามารถเข้าไปเป็นรัฐมนตรีกันได้โดยง่าย
นอกจากนั้นก็ยังมีอีก 4 ประเด็นสำคัญ..ที่พรรรคเพื่อไทยพยายามจะแก้ไข..และหาทางฉีกทิ้งมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน..นั่นก็คือ..กลุ่มมาตราที่เกี่ยวกับความซื่อสัตย์สุจริตและจริยธรรม..ที่กำหนดเป็นคุณสมบัติของรัฐมนตรี..ในมาตรา 201, มาตรา 202, มาตรา 222, มาตรา 228, มาตรา 232, มาตรา 238 และมาตรา 246..เรียกว่าต้องการที่โละทิ้งทั้งหมด..เพื่อไม่ต้องเป็นอุปสรรคขัดขวางนักการเมืองชั่ว..ที่มีปมเรื่องความ“ซื่อสัตย์”และ“จริยธรรม”เข้าสู่อำนาจ
สรุปก็คือ..นักการเมืองและพรรคการเมือง..ต้องการฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญฉบับนี้..เพราะเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง..ไม่ได้เกี่ยวกับผลประโยชน์ของประชาชนแต่อย่างใด..เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ประชาชนได้ประโยชน์อยู่แล้ว..และเป็นรัฐธรรมนูญที่ประชาชนคนไทย 16.82 ล้านเสียงเป็นผู้“สถาปนา”..จากการออกเสียงลงประชามติเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2559
รัฐธรรมนูญปี 2560“ฉบับปราบโกงนักการเมืองชั่ว”ฉบับบนี้..เป็นรัฐธรรมนูญของประชาชน..ไม่ใช่รัฐธรรมนูญที่เป็น“มรดกบาปของ คสช.”..ตามที่นักการเมืองของพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทย“บิดเบือน”..อันเท่ากับเป็นการไม่เคารพและละเมิดสิทธิของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย
อีกทั้งอันที่จริงแล้ว..ถ้าเห็นว่า..มาตราใดของรัฐธรรมนูญบับนี้มีจุดอ่อนข้อบกพร่อง..และจะทำให้ประชาชนไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ที่ควรจะได้..ซึ่งไม่ใช่สิทธิประโยชน์ของนักการเมืองและพรรคกาเมือง..สมาชิกรัฐสภาก็สามารถเสนอขอแก้ไขได้เป็นรายมาตรา
แต่ถ้าจะฉีกทิ้งแล้วยกร่างฉบับใหม่ก็ต้องถามประชาชนก่อน..ดังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมาว่า..“รัฐสภามีอำนาจริเริ่ม..หรือแสดงความต้องการเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้..แต่ต้องให้ประชาชนออกเสียงประชามติให้ความเห็นชอบ..ว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่เสียก่อน”
และการทำประชามติดังกล่าว..ต้องจัดให้ประชาชนออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง..ครั้งที่ 1 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติ..ว่าสมควรมีรัฐรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่..ครั้งที่ 2 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่..ว่ามีวิธีการและเนื้อหาที่สำคัญอย่างไร..และครั้งที่ 3 ภายหลังรัฐสภาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว..ให้ประชาชนออกเสียงประชามติ..ว่าเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่..โดยที่การออกเสียงประชามติครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2..อาจรวมเป็นครั้งเดียวกันได้
จะอะไรก็ตามแต่..การทำประชามติดังกล่าว..ตลอดจนกระบวนการทั้งหมดเพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้น..จะต้องสิ้นเปลืองเงินงบประมาณแผ่นดิน..ที่มาจากภาษีอากรของประชาชน ไม่ต่ำกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท
ชาวบ้านเขาจึงถามเป็นภาษาชาวบ้านว่า..“เงินโคตรบิดามารดา”ของนักการเมืองหรืออย่างไร..ที่จะเอามาล้างผลาญกัน..เพียงเพื่อสนองตัณหาให้แก่พวกตนที่เป็นพวก“เวรห้าร้อย” ?!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี