ประเทศเนปาลเป็นข่าวระดับโลก เมื่อเกิดการประท้วงรุนแรงของคน Gen Z เผาอาคารรัฐสภา เผาบ้านอดีตนายกรัฐมนตรีขังภริยาอดีตนายกรัฐมนตรีในบ้าน รายงานเบื้องต้นว่า เธอถูกเผาตาย แต่ภายหลังทราบว่าเธอได้รับบาดเจ็บสาหัสยังรักษาตัวในโรงพยาบาล
การประท้วงรุนแรงคน Gen Z ในเนปาลเกิดจากความโกรธแค้นชิงชังต่อการใช้ชีวิตหรู อยู่สบายมีตำแหน่งใหญ่โตของลูกหลานรัฐบาลจนคน Gen Z ในเนปาลลุกฮือประท้วงนักการเมืองคอร์รัปชั่น รวมลูกหลานเรียกว่า Nepo Baby หรือ ลูกคุณหนูขึ้นมาบริหารกินตำแหน่งใหญ่ในรัฐบาล
ลูกคูณหนู ใช้ชีวิตหรูอยู่สบาย มีตำแหน่งใหญ่โตทางการเมือง เหมือนในประเทศไทย ที่อดีตนายกรัฐมนตรีคุณหนู ไม่รู้สี่รู้แปด ไม่มีความรู้ ความสามารถ ไม่มีประสบการณ์บริหาร แต่ได้รับสถาปนาขึ้นเป็นนายกฯคนที่ 31
ที่เลวร้ายคุณหนูลูกนักการเมืองคอร์รัปชั่น ขี่รถหรูราคาหลายสิบล้าน ใช้แบรนด์ ตั้งแต่หัวถึงเท้า ถือกระเป๋าใบละหลายแสน ในขณะที่ประชาชนยากจนทั่วประเทศ คนเนปาล มีรายได้ต่อหัวปีละประมาณ 1,470 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 45,000 บาท
คน Gen Z คือมีอายุประมาณ 16-28 ปี คนรุ่นนี้เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีดิจิทัล อินเตอร์เนต และโซเชียลมีเดีย ทำให้พวกเขามีทักษะในการใช้เทคโนโลยี มีความคิดสร้างสรรค์ กล้าแสดงออก พวกเขาจึงทนดูนักการเมืองให้ปล่อยพวกลูกคุณหนูผลาญชาติตามบุพการีไม่ได้
คน Gen Z ใช้โซเชียลมีเดียโจมตีนักการเมืองคอร์รัปชั่น และพวกลูกคุณหนูทั้งหลายที่คน Gen Z เรียกว่า Nepo Baby คณะรัฐมนตรีขี้ฉ้อ คงถือคติ ด่าพ่อล่อแม่พอทนได้ แต่การประจานลูกคุณหนูเหล่านั้นสุดทานทนได้ รัฐบาลเนปาล จึงเข้มงวดการใช้ Facebook Instagram และ Line ต้องจดทะเบียนกับกระทรวงข่าวสารภายในวันที่ 15 กันยายน 2568
ระเบียบกระทรวงข่าวสารที่เข้มงวดไม่ให้ใช้โซเชียลโจมตีเรื่องคอร์รัปชั่น ทำให้คน Gen Z เดือดเป็นฟืนเป็นไฟนัดหมายกันประท้วงทางโซเชียลตั้งแต่วันที่ 4 กันยายนจนบานปลายกลายเป็นการประท้วงรุนแรง ในวันที่ 9 กันยายน กลุ่ม Gen Z หลายหมื่นคนลงถนนประท้วงในกรุงกาฐมาณฑุ ตามนัดหมาย โดยใช้สโลแกน “Nepo Baby”
วิกิพีเดียนิยามว่า Nepo Baby มาจากคำว่า Nepotismซึ่งมีรากศัพท์มาจาก ภาษาลาติน คำว่า “Nepos” แปลว่าลูกหลาน หรือ ญาติ Nepotism เลยหมายถึง การใช้อำนาจหรือตำแหน่งหน้าที่ เพื่อช่วยเหลือเอาญาติพี่น้อง หรือพรรคพวกให้ได้งาน หรือได้ผลประโยชน์ต่างๆ โดยที่ไม่คำนึงถึงความสามารถ หรือคุณสมบัติของคน
สโลแกน Nepo Baby จึงโดนใจคนเนปาล จึงโจมตีลูกคุณหนูผู้มีตำแหน่งในรัฐบาล แต่การประท้วงที่นัดหมาย ออนไลน์ไม่มีแกนนำ การประท้วงจึงบานปลายกลายเป็นความวุ่นวายที่มีเป้าหมายทำลายฝ่ายการเมือง
สำนักข่าว Khabar Hub ของเนปาล รายงานว่า ราชยลักษมีจิตราการ ภริยาของอดีตนายกรัฐมนตรีเนปาล จาลา นาถ คานาลเสียชีวิตหลังถูกผู้ประท้วงกักขังไว้ในบ้านแล้วจุดไฟเผาบ้าน ล่าสุดสื่อดังกล่าวออกมาแก้ข่าวว่า “เธอยังไม่เสียชีวิต”
หลังจากนั้นผู้ประท้วงรวมทั้งนักเรียน นักศึกษาและประชาชนทั่วไป กระจายออกไปหลายเมืองในประเทศเนปาลโดยมีเป้าหมายทำลายเครือข่าย Nepo Baby ทำให้เหล่านักการเมืองหนีตายเข้าไปในค่ายทหาร ดูจากข่าวทีวีและสื่อออนไลน์เห็นนักการเมืองหนีตายกระโดดแม่น้ำว่ายข้ามอีกฝั่งหนึ่งหลายคน หลังจากนั้นผู้ประท้วงออกตามล่านักการเมือง เผาสภาเผาบ้านนักการเมือง ก่อจลาจลวุ่นวาย
รัฐบาลส่งตำรวจออกมายับยั้งการประท้วง มีการปะทะกันด้วยแก๊สน้ำ ฉีดน้ำแรงสูงใส่และใช้กระสุนจริง สำนักข่าว อัลจาซีราห์รายงานว่าวันที่ 9 กันยายน ผู้ประท้วงเสียชีวิตอย่างน้อย 20 ศพ
CNN รายงานว่า นายเคพีชาร์มา โอลี นายกรัฐมนตรีเนปาล ประกาศลาออกในตอนค่ำวันที่ 9 กันยายน พร้อมทั้งประกาศยกเลิกข้อห้ามใช้โซเชียลมีเดีย ก่อนหายตัวไป ไม่มีรัฐบาลรับผิดชอบแก้ไขสถานการณ์ในขณะผู้ประท้วงยังคงตามล่าทำร้าย เผาทำลายทรัพย์สินนักการเมือง สถานการณ์บานปลายเกินกำลังตำรวจรับมือได้
กองทัพเนปาลประกาศเคอร์ฟิวคืนวันที่ 9 กันยายน และออกแถลงควบคุมสถานการณ์เพื่อความสงบ พลเอกอะโชค ราช ซิกเดล ผู้บัญชาการกองทัพเนปาล เรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการประท้วงยุติการเคลื่อนไหวและแก้ไขปัญหาผ่านการเจรจา
เช้าวันที่ 10 กันยายน กองทัพส่งทหารออกลาดตระเวน เมืองหลวง สื่อท้องถิ่นรายงานวันพุธที่ 10 ว่า เตรียมการหารือระหว่างทางการกับผู้ประท้วง แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม
ในเวลาเดียวกัน บาราลาม เคซี อดีตผู้พิพากษาศาลสูงสุดเรียกร้องให้ผู้ประท้วงจัดทีมเจรจา และขอให้กองทัพช่วยรักษาความสงบเรียบร้อย รวมทั้งเรียกร้องให้จัดการเลือกตั้งใหม่ สื่อท้องถิ่นไม่ได้ให้รายละเอียดว่าใครเป็นตัวแทนของฝ่ายรัฐบาล เพราะการเมืองทั้งหมดหนีตาย บ้านเรือนถูกทำลายเสียหาย
ประเทศเนปาลจึงตกอยู่ในความสับสนไม่มีใครบอกได้ว่าอำนาจอยู่ในมือฝ่ายใด มีแต่ฝ่ายกองทัพกับอดีตผู้พิพากษาสูงสุดเรียกร้องให้เจรจา ฝ่ายประท้วงไม่มีตัวแทนเข้าร่วมเจรจา
เนปาล ล้มเลิกระบอบกษัตริย์ใน พ.ศ. 2551 หลังจากเกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ราชวงศ์ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2544ณ พระราชวังนารายณ์หิติ ซึ่งเป็นที่ประทับของ ราชวงศ์เนปาล ในขณะนั้น สมาชิกราชวงศ์เก้าพระองค์ รวมถึง พระเจ้าพีเรนทระและพระราชินีไอศวรรยา สวรรคตจากเหตุกราดยิง ระหว่างการชุมนุมของราชวงศ์ที่พระราชวัง
ตั้งแต่เนปาลเปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตย เนปาลมีรัฐบาลมาแล้วทั้งสิ้น 14 ชุด ในช่วงเวลา 17 ปี โดยมีรัฐบาลบริหารประเทศเฉลี่ยชุดละประมาณ 1 ปีเศษ และไม่เคยมีรัฐบาลใดบริหารครบวาระ 5 ปี
ยกเรื่องเนปาลขึ้นมา เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับประเทศไทยกำลังมีรัฐบาลชุดใหม่ ที่พรรคส้มกำหนดให้รัฐบาลชุดใหม่อยู่ได้เพียง 4 เดือน โดยเป้าหมายเพื่อให้รัฐบาลเฉพาะกาลแก้รัฐธรรมนูญปี 2560 และยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่
พรรคส้มในเมืองไทย จึงไม่ต่างกับคน Gen Z ในเนปาล ที่ไม่เข้าใจบริบทการเมืองประเทศตัวเอง ใจร้อน วู่วาม ทำตามต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศตามอุดมการณ์เพ้อฝัน เนปาล มีรัฐบาล 14 ชุด ในเวลา 17 ปี ฉันใด พรรคส้มก็ต้องการให้ประเทศไทยเปลี่ยนรัฐบาลทุกปีฉันนั้น พรรคส้มเคยที่ใช้คนรุ่นใหม่เป็นฐานทางการเมือง เพื่อสนองนโยบายเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ตั้งเป้าหมายปฏิรูปสถาบันฯให้ได้ในรุ่นเรา
แต่พรรคส้มในเมืองไทย ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถาบันฯจึงสร้างความวุ่นวายโดยใช้คน Gen Z ผสม Gen Y ทำร้ายประเทศไทยในนาม กลุ่มทะลุแก๊ส ทะลุวัง ทะลุฟ้า และสารพัดทะลุโดยมีพรรคของ Nepo Baby หนุนหลัง อุดมการณ์พรรคส้มในเมืองไทยจึงล่มสลายในเวลาไม่กี่ปี
พรรคส้ม มีเป้าหมายเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ และเป็นแนวร่วมให้พรรคของ Nepo Baby ที่เป็นรัฐบาลเนื่องจากว่า พรรคฝ่ายค้านก็เป็น Nepo Baby เหมือนนายกฯที่ศาล รธน.มีมติให้พ้นจากหน้าที่ เมื่อเป็น Nepo Baby เหมือนอดีตนายกฯ พรรคส้มซึ่งฝ่ายค้านก็ต้องล่มสลายในเวลาไม่นาน
จึงพูดได้ว่า พรรคส้ม ซึ่งเป็นฝ่ายค้านไม่สามารถกำหนดอายุรัฐบาลภูมิใจไทยให้อยู่ได้เพียง 4 เดือน หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และผู้นำจิตวิญญาณภูมิใจไทย เป็นคนรุ่น Baby Boom มีประสบการณ์ทางการเมืองมานาน คนรุ่น Baby Boom จึงปรับตัวเข้ากับสภาพสังคม และสภาวะทางการเมืองได้ อุดมการณ์และนโยบายปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยและสถานการณ์
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของไทย ตระหนักดีว่างานเร่งด่วนเฉพาะหน้าคือ แก้ปัญหาเศรษฐกิจและความขัดแย้งไทย-กัมพูชา จึงมั่นใจว่า รัฐบาลชุดใหม่อยู่ได้นานกว่า ที่ตกลงไว้กับพรรคส้ม ผู้ทำตัวเหมือนคน Gen Z ในเนปาล
ประเทศไทยเคยมีนายกฯ Nepo Baby หน่อมแน้มที่สุดในประศาสตร์การเมืองไทย จึงมั่นใจว่านายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของไทยได้บทเรียนจากรัฐบาลที่ผ่านมา รัฐบาลใหม่ จึงให้ความสำคัญกับปัญหาเฉพาะหน้าไม่ว่า จะเป็นปัญหาเศรษฐกิจและความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ตลอดถึงปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
พิเคราะห์จากโผรัฐมนตรีที่สื่อคาดการณ์ อาทิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกลาโหม ต้องยอมรับนายอนุทินสรรหาคนดีดังที่ฝรั่งพูดว่า Put the right man on the job at right time
รมว.คลัง เป็นความหวังที่ประชาชนจะได้โครงการคนละครึ่งกลับมาซึ่งเป็นประโยชน์กับคนไทยถ้วนหน้า รมว.การต่างประเทศคนใหม่ถ้าเป็นตามโผท่านเคยเป็นลูกหม้อกระทรวงการต่างประเทศ ที่จะฟื้นฟูเกียรติภูมิประเทศไทยให้กลับคืนมาได้ ส่วน รมว.กลาโหม เมื่อรัฐบาลนายอนุทิน ไม่เป็นหนี้บุญคุณฮุนเซน เหมือนรัฐบาล Nepo Baby เหมือนที่ผ่านมา เชื่อว่าปัญหาความขัดแย้งไทย-กัมพูชาสามารถแก้ได้ในเร็ววัน
หากรัฐบาลแก้ปัญหาเฉพาะหน้า สามประเด็นนี้ได้ก็ไม่มีเหตุผลอะไรทำให้ต้องยุบสภาเลือกตั้งใหม่ภายในสี่เดือนพรรคส้มเองไม่เข้าใจบริบทสังคมไทย ที่คิดว่าเสียงในสภามีสำคัญกว่าเสียงคนไทยกว่า 60 ล้านคน พรรคส้มคงลืมไปว่า ไม่เคยมีสภาชุดไหนไล่รัฐบาลได้ รัฐบาลไทยส่วนใหญ่ถูกไล่โดยเสียงนอกสภานั้นคือเสียงประชาชน
พูดได้ล่วงหน้า หากรัฐบาลชุดใหม่แก้ปัญหาเศรษฐกิจ และขัดแย้งไทยกัมพูชาได้ระดับหนึ่ง รัฐบาลภูมิใจไทยอยู่ได้นานกว่าหนึ่งปี หรือมากกว่านั้น เพราะไม่มีนักการเมืองคนไหนต้องการให้ยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่
ประวัติศาสตร์การเมืองไทย ทุกครั้งที่ยุบสภาหรือรัฐบาลต้องพ้นจากหน้าที่ ล้วนมาจากพลังนอกสภานั้นคือเสียงประชาชนผลักดันให้ทหารหรือศาลไล่รัฐบาลพ้นทำเนียบ
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี