พรรคส้มเน่าคือพรรคประชาชนนั้น ชาวบ้านเขาสงสัยว่า ไม่รู้ไปโกรธเกลียดทหารมาแต่ชาติปางไหน ถึงจ้องจะ“ฟัด”กับทหาร โดยไม่เคยใช้สติและเหตุผลแยกแยะ
สส.หนุ่มสาวในพรรคประชาชนนั้น ส่วนใหญ่นมเพิ่งจะแตกพานมาได้ไม่นาน ได้เป็นสส.เพราะคนไทยจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่หลงผิด คิดว่านักการเมืองรุ่นใหม่ และพรรคการเมืองส้มเน่า ตั้งแต่ครั้งยังเป็นพรรคก้าวไกล คือความหวังที่จะฝากอนาคตของบ้านเมืองไว้ได้
เพราะนักการเมืองรุ่นเก่า และพรรคการเมืองเก่าๆ ที่มีอยู่ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่คิดถึงผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก เรียกว่าโกงได้ก็โกงคำว่า“ความซื่อสัตย์สุจริต” แทบจะถูกลบทิ้งไปเลย
การที่ทหารออกมายึดอำนาจ โค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญนั้น ส่วนหนึ่งก็เพราะ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และอ้างประชาชนบังหน้า โกงกินกันจนชาวบ้านทนดูไม่ไหว ทหารจึงใช้จุดนี้เป็นเงื่อนไขสำคัญในการยึดอำนาจ ซึ่งก็มิอาจปฏิเสธได้เช่นกัน
“ทหารมีไว้ทำไม”ซึ่งเป็นวาทกรรมของนักการเมืองพรรคส้มเน่า ถึงวันนี้ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สงครามรุกรานไทยของกัมพูชานั้น หากไม่มี“ทหาร” มีแต่สส.ที่เป็นเต่าหัวหดอยู่ในกระดอง และใช้ปากไว้เห่าหอนเพียงเพื่อ“เสี้ยมแซะ”ให้เกิดความขัดแย้งแตกแยก ประเทศไทยคงอาจจะเสร็จเขมรสองพ่อลูก“ฮุน เซน-ฮุนมาเนต”ไปแล้ว โดยมี“ไส้ศึก”ของ“อังเคิล”คอย“ชักน้ำเข้าลึก-ชักศึกเข้าบ้าน”
คนแรกที่ต้องเอ่ยถึง คือนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้นำทางจิตวิญญาณพรรคประชาชน ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งพรรคก้าวไกล และใครก็รู้ว่าเป็น“นายทุนพรรค”ของพรรคการเมืองส้มเน่า แม้วันนี้จะถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสิทธิทางการเมือง โดยถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลา 10ปีแล้วก็ตาม แต่ก็ยังเคลื่อนไหวทางการเมืองในนาม“ประธานคณะก้าวหน้า”อยู่ตลอดเวลา และ“ทหาร”ก็ยังเป็นเป้าหมายสำคัญในการเซาะกร่อนบ่อนทำลาย
เช่นคำพูดของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ได้ไปพูดบนเวทีเสวนาของค่าย“เนชั่น” ในหัวข้อ “Exclusive Talk :ผ่าทางตันประเทศไทย” เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 ว่า “ผมตกใจเรื่องการกลับมาของความไว้วางใจทหาร อันนี้เป็นสิ่งที่ผมกังวล การใช้สถานการณ์มาสร้างอารมณ์ความรู้สึกชาตินิยมที่ล้นเหลือ จะนำไปสู่การสร้างความเกลียดชังในสังคม”
อีกคนหนึ่ง คือนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคประชาชน เพิ่งจะให้สัมภาษณ์สื่อล่าสุดเมื่อวันที่ 23 กันยายนเมื่อวานนี้ เรื่องรัฐบาลกับกองทัพ โดยโฆษกพรรคประชาชนที่หมกมุ่นอยู่กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การฉีกทิ้งแล้วยกร่างฉบับใหญ่ ได้ติติงนายอนุทินชาญวีรกูล ในฐานะนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กรณีให้อำนาจทหารจัดการปัญหาไทย-กัมพูชาว่า
“โดยหลักความรับมือภัยความมั่นคง ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของทุกฝ่าย ทุกองคาพยพ เพราะมาตรการในการตอบโต้หรือรับมือในเรื่องนี้ รวมถึงการเยียวยาคนไทยที่ได้รับผลกระทบ ก็ต้องผสมผสานกับมาตรการความมั่นคงทางการทหาร การทูต และเศรษฐกิจ”
พร้อมกันนี้ โฆษกพรรคประชาชนยังได้ชี้ทางแบบท่องตำรามาว่า“ดังนั้น ในฐานะนายกฯ และฝ่ายบริหาร ก็คงต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบหลักในการกำหนดยุทธศาสตร์ภาพรวม ว่าเป้าหมายหลักของประเทศควรเป็นเช่นไร และควรไปในทิศทางไหน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของคนในประเทศ จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของแต่ละฝ่ายที่ไปปฏิบัติมาตรการต่างๆอีกครั้งหนึ่ง โดยฝ่ายกองทัพคงรับผิดชอบเรื่องฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายกระทรวงการต่างประเทศรับผิดชอบการทูต”
ถ้าใครฟัง“พริษฐ์ วัชรสินธุ” หรือที่คนเรียกในเชิงค่อนขอดว่า“คุณหนูไอติม”แต่เพียงฝ่ายเดียว ก็อาจจะร้องว่า“คุณหนูไอติมสุดยอด” โดยเฉพาะ“มวลชนส้มเน่า” หรือ“ด้อมส้ม”ที่ตามแห่มากกว่าใช้สติปัญาตรึกตรอง เพราะว่านายอนุทิน ชาญวีรกูล ไปพูดที่สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ เมื่อวันที่ 22กันยายนที่ผ่านมา ก็จะเห็นภาพชัดเจนว่า การทำงานของรัฐบาลชุดนี้และนายกรัฐมนตรีคนนี้ ต่างจากรัฐบาลชุดก่อนที่ทำตัวเหมือน“ไส้ศึกของเขมร” โดยไปบอกกับข้าศึกศัตรูว่า “แม่ทัพภาค 2” คือ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง “เป็นฝ่ายตรงข้ามกับเรา”
นายอนุทิน ชาญวีรกูล ขึ้นเวทีพูดที่สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ ในฐานะประธานนักศึกษาวปอ.รุ่นที่ 61 แบบตัดจบครบทุกประเด็น-ยกมาให้อ่านกันดังนี้
“ใครที่เคยดูถูกว่าพลังมวลชนไม่มีพลัง ไม่มีความหมาย พูดเลยครับว่าเปิดด่าน พูดเลยครับว่าเกี้ยเซียะ พูดเลยครับว่ายอมเขา แล้วท่านก็จะรู้ว่านรกมีจริง แยกกันเดิน..รวมกันตีครับ”
“แยกกันเดิน รวมกันตี วันนี้มีความหมายกับผมมาก สำหรับรัฐบาลกับกองทัพ ทหารก็รบไป คิดยุทธศาสตร์ไป พวกผมก็หาวิธีที่จะกดดันกัน วันนี้บอกยอมไม่ได้แล้ว มาถึงขนาดนี้ มีแแต่เราต้องไล่ตี ไม่ใช่ว่าไปตีเขา ก็คือเชิงรุก ในการที่จะกำหนดเงื่อนไขคนที่มีปัญหากับเราจะต้องยอมรับ เพราะประเทศไทยได้เปรียบทุกประตู ไม่ว่าจะทางด้านเศรษฐกิจ ทางด้านแสนยานุภาพ”
“ดังนั้นถ้าเราได้เปรียบแบบนี้ แล้วจะให้ไปเจรจาแล้วแบบ เอาน่าผมยอมก่อน คุณทำอย่างนี้ก่อนได้ไหม ผมคิดว่าพวกพี่ (ผบ.เหล่าทัพ)ที่นั่งในห้องนี้กับผม สะกดคำพวกนี้ไม่เป็น ซึ่งผมก็ไม่อยากใช้คำว่าได้เปรียบกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่เมื่อเรามีความพร้อมดีกว่า พร้อมกว่าคนที่เรากำลังมีปัญหาด้วย เราก็ต้องใช้ความพร้อมนี้ สร้างคุณประโยชน์ สร้างสิ่งที่ประชาชนของประเทศเราต้องการให้มากที่สุด”
“นับจากวันนี้เป็นต้นไป ผมในนามรัฐบาล ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์) และเหล่าทัพทั้งสี่เหล่าทัพ ตลอดจนฝ่ายปกครองด้วย เราจะใช้แนวทางนี้ในการดำเนินยุทธศาสตร์ต่อกรกับคนที่เรามีปัญหาอยู่ เอาว่าแนวนี้ ไม่มีอะไรที่จะออกนอกแนวจากนี้ไป เพราะว่าได้มีการพูดคุยมาในระดับหนึ่งแล้ว”
สำคัญที่สุดภายใต้ยุทธศาสตร์“แยกกันเดิน รวมกันตี” ในแบบฉบับของ“อนุทิน ชาญวีรกูล” คือ“มีหนู-มีรู”ย่อมมีทางออกนั้น นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย,วัย 59 ปีผู้นี้ ได้ประกาศไว้ชัดเจนว่า
“ภายใน 4เดือน ชายแดนกัมพูชาต้องมีคำตอบ มีผลลัพธ์ให้ประเทศไทย ที่สำคัญต้องไม่สูญเสียอะไรไปมากกว่าผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา” !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี