รัฐบาลเสียงข้างน้อยของนายอนุทิน ชาญวีรกูล..ชุดนี้..ไม่จำเป็นต้องเขียนแปะว่าเป็น“อนุทิน 1”.เพราะถึงอย่างไรก็มีแต่“อนุทิน”เดียว..ด้วยระยะเวลาจำกัดเพียงแค่ 4 เดือน..ตาม“MOA” ที่พรรคภูมิใจไทยลงนามไว้กับพรรคประชาชน
สัจจะก็คือสัจจะ..เว้นแต่ในหมู่โจรเท่านั้นที่ไม่มีสัจจะ..ซึ่งถ้าหากนายอนุทิน ชาญวีรกูล..ไม่รักษาสัจจะที่ให้ไว้กับ“สส.ฟันน้ำนม”ตามสัญญา“MOA”..นั่นก็เท่ากับไม่รักษาคำพูด..หรือไม่รักษาวาจาสัตย์..และจะถูกชี้หน้าหยามเกียรติในทำนองที่ว่า“สัจจะไม่มีในหมู่โจร”เอาได้
แต่เมื่อได้ฟังจากที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล..ได้กล่าวเปิดใจที่จังหวัดอ่างทอง..เมื่อวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา..จากการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานการณ์อุทกภัยเป็นงานแรก..ในฐานะนายกรัฐมนตรีคนที่ 32..ของประเทศไทย..และในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย..ก็ยังยืนยันตาม“MOA”โดยได้พูดชัดเจนว่า
“อีก 4 เดือนยุบสภาแน่นอน..ไม่ต้อง 4 เดือน..เราทำเต็มที่..เพื่อให้ประชาชนเลือกพวกเรากลับมารับใช้พี่น้องประชาชนอีก.. เพราะฉะนั้น..ขอให้ท่านได้มีความมั่นใจว่า.. 4 เดือนนี้เป็น 4 เดือนที่เราจะทำงานกันอย่างเต็มที่สุดความสามารถ..และทำสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดเท่าที่เราจะทำได้”
หากไล่เรียงตามไทม์ไลน์แล้ว..วันที่ 24 กันยายนนี้..นายอนุทิน ชาญวีรกูล..จะนำคณะรัฐมนตรี 35 คน..รวมทั้งตัวนายกรัฐมนตรีที่ควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอีกหนึ่งคนเป็น 36 คน..เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณ..ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน
หลังจากนั้นก็จะต้องแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา..จึงจะปฏิบัติหน้าที่ได้จริงๆ..โดยรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่า..จะต้องแถลงภายใน 15 วัน..นับแต่วันเข้ารับหน้าที่..นั่นก็คือนับจากวันเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณ..ซึ่งตามไทม์ไลน์นี้..รัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูล..จะเริ่มนับหนึ่งก็ประมาณปลายเดือนนี้หรือไม่เกินต้นเดือนตุลาคม..และระฆังจะหมดยกครบ 4 เดือนต้องประกาศยุบสภาฯ..ก็จะตกสิ้นเดือนมกราคม 2569 ต้นปีหน้า
เวลา 4 เดือน..นับจากเดือนตุลาคมเป็นต้นไปนั้น..เป็นจังหวะเดียวกับเริ่มต้นปีงบประมาณฯ 2569..ซึ่งรัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูล..สามารถใช้เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569..วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท..ที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจัดทำไว้แล้วได้ทันที
เพราะฉะนั้น..เงินก็มี..รัฐมนตรีก็พร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่..เรียกว่าสามารถ“เดินหน้าลุย”และขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ทันทีทันใด..และก็ไม่ยากด้วย..ขอเพียงแต่มีความมุ่งมั่นตั้งใจทำงาน..เพื่อประโยชน์สุขของบ้านเมืองและประชาชนเป็นที่ตั้ง..เท่านี้ก็ย่อมเห็นผลงานได้ในเชิงประจักษ์
เนื่องจาก 2 ปีของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย..ที่มีนายกรัฐมนตรีขึ้นมาบริหารประเทศถึง 2 คน..คือนายเศรษฐา ทวีสิน..กับ“แพทองธาร ชินวัตร”..และต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยมาตรา 160 ของรัฐธรรมนูญเหมือนกันทั้งสองคนนั้น..ไม่เพียงแต่ไม่เคยทำอะไรที่มีผลงานปรากฏเท่านั้น..กลับยังทำให้บ้านเมืองวิบัติฉิบหายด้วย..ทั้งจากวิกฤตเศรษฐกิจ..และปัญหาสงครามจากการรุกรานของกัมพูชา
ทั้งนี้..ปัญหาเร่งด่วนมี 2 เรื่องสำคัญ..ที่รัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูล..จะต้องทำให้สำเร็จเฉพาะหน้า..คือการแก้วิกฤตเศรษฐกิจที่เสื่อมทรุดอย่างหนักอยู่ในเวลานี้..กับการแก้ปัญหาสงครามกัมพูชารุกรานไทย..ทั้งสองปัญหานี้เกิดขึ้นเพราะการบริหารประเทศที่ล้มเหลวของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย..และโดยความอ่อนด้อยไร้สติปัญญา..ของ 2 นายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคเพื่อไทย
เรื่องการแก้วิกฤตเศรษฐกิจนั้น..เอาปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนก่อนเป็นลำดับแรก..คือการกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศให้ได้ภายใน 4 เดือนนี้..ส่วนภาพใหญ่เช่น ปัญหาหนี้ครัวเรือน..ที่มีทั้งหนี้ในระบบและหนี้นอกระบบ..ตัวเลขอยู่ที่ 16.22 ล้านบาท..ตลอดจนหนี้สาธารณะ..ซึ่งตัวเลขอยู่ที่ร้อยละ 65-66 ของ จีดีพี..หรือเกือบ 12 ล้านล้านบาท..และรวมทั้งเรื่องการค้าการลงทุน..หรือการทำใประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการขยายตัวทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมนั้น..สามารถวางแผนปูทางไว้เป็นการล่วงหน้า..เมื่อกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลใหม่ก็สานต่อได้เลย
ปัญหาที่จะต้องแก้ไขเฉพาะหน้านี้..แค่เรื่องเดียวก็เกินพอแล้ว..คือ คือการกระตุ้นเศรษฐกิจจากกำลังซื้อภายในประเทศ..โดยใช้“โครงการคนละครึ่ง 60 : 40”..ตามที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล..ให้สัมภาษณ์ว่า..ได้มอบหมายให้นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ..รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรฐกิจ..และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดำเนินการให้เสร็จภายใน 2 เดือน..หลังจากคณะรัฐมนตรีถวายสัตย์ปฏิญาณในวันที่ 24 กันยายนนี้
โครงการ“คนละครึ่ง”นี้..ถือว่าถูกเรื่องถูกราว..และตรงปกตรงประเด็น..เพราะไม่ได้กระตุ้นแบบโครงการล้างผลาญเงินภาษีอากรของประชาชน..อย่างโคงการ“แจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท”..ที่ประเทศชาติสูญเงินไปทั้งสิ้น 1.85 แสนล้านบาท..โดยที่อย่าว่าแต่“พายุหมุนทางเศรษฐกิจ 4 ลูก”เลย..แม้แต่เสียง“ผายลม”ก็ไม่มีใครได้ยิน
หากมีแต่พรรคเพื่อไทยเท่านั้นที่ได้เต็มๆ..จากการยักย้ายเงินหลวงของแผ่นดินไปสร้างคะแนนนิยม..และเป็นคะแนนนิยมจาก“นโยบายตกเขียว”..ที่สัญญากับชาวบ้านไว้เมื่อตอนหาเสียงเลือกตั้ง สส.ในปี 2566
อีกเรื่องหนึ่ง..คือการแก้ปัญหาสงครามกัมพูชารุกรานไทยนั้น.. นายอนุทิน ชาญวีรกูล..ต้อง“สวมหัวใจสิงห์”..ประกาศยกเลิก“MOU 43”..และ “MOU 44”ทันที..แล้วค่อยหาทางออกกันใหม่
เพราะสันดานกัมพูชา..โดย 2 ทรราชพ่อลูกตระกูลฮุน คือ“ฮุน เซน-ฮุน มาเนต”นั้น..มีสันดานอสรพิษและเป็นพวก“สุนัขลอบกัด”..ซึ่งคบไม่ได้..ดังนั้นไทยไม่ควรแสดงบทเป็น“พ่อพระ”..หรือ“พระเอก”..แต่ต้องสั่งสอนให้หลาบจำ..และรวมทั้งต้องปิดด่านต่อไปจนกว่าสถานการณ์จะไว้วางใจได้อย่างแท้จริง..ตลอดจนการสร้างรั้วและกำแพงก็มีความเป็นอีกเช่นกันด้วย
สำหรับความกลับกลอกปลิ้นปล้อนของ“สองพ่อลูกตระกูลฮุน”..ที่คบไม่ได้นั้น..จะเห็นได้ว่า..นับตั้งแต่หลังการเจรจาหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมสองเดือนที่ผ่านมา..ที่ประเทศเทศมาเลเซีย..ทางฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลงอย่างต่อเนื่อง..และไม่เคารพกติกาสากล
ทั้งการเคลื่อนย้ายกำลังทางทหารเพิ่มเติมตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา, การลอบวางทุ่นระเบิด, การคุกคามด้วยการปลุกระดมมวลชนมายั่วยุทหารไทย..และการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จหรือข่าวปลอม..เป็นต้น
จะอย่างไรก็ตามแต่..เอาแค่สองเรื่องดังที่ว่ามานั้น..เชื่อว่า..รัฐบาล“รัฐบาลชั่วคราว 4 เดือน”ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล..จะได้รับคะแนนเต็มๆ..และมีอานิสงส์ไปถึงการเลือกตั้งหลังยุบสภาฯ..ส่วนเรื่องอื่นๆ ใน“MOA”ก็ปล่อยให้ไหลรื่นโดยตัวของมันเอง
สรุปเป็นว่า..ทางของ“หนู”ก็คือ“รู”..ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล..หรือชื่อเล่นว่า“หนู”..มักจะยกคำพูดที่เป็นบุคลิกของตนจากการหยอกล้อของเพื่อนตั้งแต่วัยเด็ก..และเคยตีพิมพ์ในหนังสืออยู่เสมอว่า
“มีรู..มีหนู..หากมีช่องอะไรก็แล้วแต่..ผมสามารถเล็ดลอดออกมา..และแก้ไขอุปสรรคได้” !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี