ยังคงมีความพยายามกลับสู่อำนาจของอดีตนายกฯตระกูลชินวัตร
ทั้งๆ ที่ “ความจริง” ปรากฏในคำพิพากษา คำสั่ง หรือคำวินิจฉัย คดีถึงที่สุดแล้วหลายคดี
ตอกย้ำเป็นอุทาหรณ์ พฤติกรรมของระบอบทักษิณ
1. ความจริงชั้น 14 ทักษิณมีเอี่ยว ถูกส่งไปอยู่นอกเรือนจำโดยมิชอบ
ในคำสั่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองคําสั่งคดี หมายเลขดําที่ บค๑/๒๕๖๘ ปรากฏข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติ และศาลฯ ได้ชี้ประเด็นสำคัญอย่างยิ่ง ระบุว่า
“...การส่งตัวจําเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจําไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๕๕ และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจํา พ.ศ. ๒๕๖๓
นอกจากนี้ การส่งตัวจําเลยออกไปรักษาตัวนอกเรือนจํา แบบฉุกเฉิน เนื่องจากจําเลยมีอาการแน่นหน้าอก แต่ข้อเท็จจริงได้ความจากเจ้าพนักงานเรือนจําชุดควบคุมว่า เมื่อส่งตัวจําเลยไปถึงโรงพยาบาลตํารวจได้พาจําเลยไปที่ห้องพักพิเศษ ชั้นที่ ๑๔ ของอาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ ๘๘ พรรษา (มมร.) ซึ่งไม่ใช่ห้องฉุกเฉินหรือห้องอุบัติเหตุ ขัดกับระเบียบโรงพยาบาลตํารวจ ว่าด้วยการรับตัวผู้ป่วยคดีที่เป็นผู้ต้องหา ผู้ต้องกัก ผู้ต้องขังหรือนักโทษเข้ารับการรักษาพยาบาลเป็นผู้ป่วยของโรงพยาบาลตํารวจ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่กําหนดแนวทางการตรวจรักษา ในกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินไว้ในข้อ ๕.๓ ว่า ในกรณีนอกเวลาราชการ แพทย์ผู้ปฏิบัติหน้าที่ที่ห้องฉุกเฉินและอุบัติเหตุจะเป็นผู้ให้การตรวจรักษา และกําหนดแนวทางการรับตัวผู้ป่วยคดีไว้ในห้องผู้ป่วยไว้ในข้อ ๖.๒ ว่า ให้รับตัวผู้ป่วยคดีไว้ที่ห้องผู้ป่วยที่โรงพยาบาลตํารวจจัดไว้สําหรับผู้ต้องหา ผู้ต้องกัก ผู้ต้องขังหรือนักโทษ เว้นแต่นายแพทย์ใหญ่ (สบ ๘) จะพิจารณาอนุญาตเป็นอย่างอื่น
ประกอบกับได้ความจากศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ประสิทธิ์และศาสตราจารย์นายแพทย์ ไชยรัตน์ ที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับการรักษาจําเลยในคืนที่รับตัวสรุปได้ว่า เมื่อพยานทั้งสองตรวจสอบจากเวชระเบียนบันทึกความคืบหน้าการรักษา เอกสารหมาย ศ.๒ แผ่นที่ ๑๔ และที่ ๑๕ พบว่าในวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๖ ที่มีการส่งตัวจําเลยมาที่โรงพยาบาลตํารวจโดยอ้างว่าเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น ไม่มีการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และไม่มีการตามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจมาดูอาการในทันที เพิ่งจะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจเข้ามาตรวจจําเลยในวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๖ หรือหลังจาก ๒๔ ชั่วโมงไปแล้ว
และได้ความจากนายแพทย์วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผู้อํานวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ในขณะนั้น และนายแพทย์พงศ์ภัค ซึ่งเป็นแพทย์เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคหัวใจ สรุปได้ว่าที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์มีเครื่องมือตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ มียาขยายหลอดลมและยาลดความดันโลหิตที่ใช้รักษาจําเลยตามเวชระเบียนของโรงพยาบาลตํารวจในวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๖
แสดงให้เห็นได้ว่า อาการของจําเลยในคืนเกิดเหตุอยู่ในศักยภาพที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์สามารถรักษาได้ ไม่จําต้องส่งตัวจําเลยไปรักษานอกเรือนจํา
เชื่อได้ว่า ในคืนวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๖ จําเลยไม่ได้มีอาการแน่นหน้าอก แต่อ้างว่ามีอาการแน่นหน้าอก เพื่อให้เจ้าหน้าที่เรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครใช้เหตุดังกล่าวเป็นข้ออ้างในการส่งตัวจําเลยไปรักษา
นอกจากนี้ ยังได้ความจากนายแพทย์วัฒน์ชัยและนายแพทย์พงศ์ภัคอีกว่า อาการของจําเลยตามที่ระบุใน เวชระเบียนของโรงพยาบาลตํารวจนับแต่วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๖ เป็นต้นไปนั้น ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์สามารถดูแลจําเลยได้ ซึ่งข้อเท็จจริงในส่วนนี้ พันตํารวจเอกนายแพทย์ชนะก็เบิกความยืนยันว่า อาการของจําเลยตั้งแต่วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๖ จําเลยสามารถกลับไปรักษาตัวที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้
จึงเห็นได้ว่า อาการแน่นหน้าอกของจําเลยหากเกิดขึ้นจริงดังที่จําเลยอ้าง อาการของจําเลยก็ทุเลาดีขึ้นและจําเลยก็สามารถกลับไปรักษาตัวที่สถานพยาบาลของเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครหรือทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้ตั้งแต่วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๖ เป็นต้นไป
สําหรับการรักษาจําเลย ที่โรงพยาบาลตํารวจตั้งแต่วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๖ จนถึงวันที่จําเลยออกจากโรงพยาบาลตํารวจเมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ นั้น แพทย์โรงพยาบาลตํารวจออกใบแสดงความเห็นแพทย์ให้เรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครและผู้บัญชาการเรือนจําพิเศษ กรุงเทพมหานคร ใช้ใบรับรองแพทย์ฉบับลงวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๖๖ วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๖ และวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๖ เป็นหลักฐานประกอบบันทึกข้อความถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ขออนุญาตให้จําเลยพักรักษาตัวนอกเรือนจําต่อไปเกินกว่า ๓๐ วัน ๖๐ วัน และ ๑๒๐ วัน โดยอ้างเหตุต้องรักษาแผลผ่าตัด ต้องรับการผ่าตัดเร่งด่วน ต้องรักษาสมองขาดเลือดและผ่าตัดภาวะกระดูกคอเสื่อม ตามลําดับ
ทั้งที่การผ่าตัดตามที่ระบุในใบแสดงความเห็นแพทย์ เป็นการผ่าตัดนิ้วล็อก ผ่าตัดเอ็นหัวไหล่ขวา ซึ่งฉีกขาดเพราะจําเลยประสบอุบัติเหตุขณะพักอยู่ที่โรงพยาบาลตํารวจ และมิใช่สาเหตุการป่วยอันเป็นเหตุที่อ้างใช้ส่งตัวจําเลยมาที่โรงพยาบาลตํารวจ และการผ่าตัดภาวะกระดูกคอเสื่อม แพทย์เคยเสนอจําเลยให้ผ่าตัดภายหลังจากจําเลยอยู่โรงพยาบาลตํารวจ แต่จําเลยปฏิเสธการผ่าตัด
ทั้งได้ความว่า ในที่สุดก็ไม่มีการผ่าตัดกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาทของจําเลยแต่อย่างใด จนกระทั่งจําเลยออกจากโรงพยาบาลตํารวจ
ข้อเท็จจริง จึงรับฟังได้ว่า การบังคับโทษจําคุกจําเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และตามพฤติการณ์ดังกล่าวมาข้างต้น บ่งชี้ให้เห็นว่า จําเลยทราบข้อเท็จจริงหรือรับรู้เหตุการณ์ได้ว่าตนไม่ได้ป่วยวิกฤตฉุกเฉิน แต่จําเลยมีเพียงโรคประจําตัวซึ่งเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาตัวแบบผู้ป่วยนอกได้ โดยไม่จําเป็นต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตํารวจ เพราะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพและสภาวะร่างกายของจําเลยเอง
นอกจากนั้น ยังได้ความว่าจําเลยเข้ามามีส่วนตัดสินใจในกระบวนการรักษาของแพทย์ โดยปฏิเสธการผ่าตัดรักษาโรคหัวใจและโรคกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาท แต่ให้แพทย์รักษาโดยการรับประทานยาตามอาการและเลือกรับการผ่าตัดนิ้วล็อกและเอ็นหัวไหล่ขวาซึ่งไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน และเป็นผลทําให้การรักษาตัวจําเลยในโรงพยาบาลตํารวจขยายระยะเวลาออกไป
จําเลยจึงได้รับประโยชน์จากการพักอยู่ที่โรงพยาบาลตํารวจ โดยไม่ต้องกลับไปถูกคุมขังที่เรือนจําพิเศษ กรุงเทพมหานครจนได้รับการปล่อยตัว และไม่อาจอ้างว่าเป็นการดําเนินการของแพทย์และเจ้าหน้าที่มิได้เกิดจากการกระทําของจําเลยเพื่อถือเอาประโยชน์จากระยะเวลาที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลตํารวจมาหักวันคุมขังโทษตามคําพิพากษา
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๖ มีพระบรมราชโองการพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษให้จําเลยเหลือโทษจําคุกต่อไป อีก ๑ ปี ตามกําหนดโทษตามคําพิพากษา ดังนี้ ย่อมมีผลทําให้จําเลยได้รับการลดโทษ และต้องรับโทษจําคุกตามคําพิพากษาต่อไปอีก ๑ ปี นับแต่วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๖ แต่หามีผลทําให้การบังคับโทษจําคุกจําเลยสิ้นสุดลงไม่ เมื่อการบังคับโทษจําเลยเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายดังที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้น กระบวนการบังคับโทษ รวมทั้งการพักการลงโทษจําเลย จึงไม่มีผลตามกฎหมาย และไม่อาจนําเอาระยะเวลาที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลตํารวจมาหักเป็นวันคุมขังได้จําเลยจึงต้องรับโทษจําคุกอีก ๑ ปี ตามพระบรมราชโองการ...”
ติดตามว่า ป.ป.ช. แจ้งข้อกล่าวหาใครเพิ่มเติมบ้าง ในคดีไต่สวนเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่มิชอบ กรณีป่วยทิพย์ชั้น 14?
อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร จะถูกแจ้งข้อกล่าวหาในฐานะผู้สนับสนุน ด้วยหรือไม่?
ซึ่งไม่ใช่การดำเนินคดีซ้ำ เพราะคำสั่งศาลฎีกานี้ ไม่ใช่การดำเนินคดีเอาผิดทักษิณตามพฤติการณ์เรื่องชั้น 14 แต่เป็นการตรวจสอบว่าติดคุกตามคำพิพากษาเดิมหรือไม่ (คดีหวยบนดินเอ็กซิมแบงก์ หุ้นชินฯ)
กรณีสนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่มิชอบในกรณีชั้น 14 เพื่อให้ตนเองได้รับประโยชน์นั้น ยังไม่มีการแจ้งข้อหาดำเนินคดีแก่ทักษิณ แต่อย่างใด
2. อดีตนายกฯ ทักษิณ ติดคุก เพราะคดีทุจริตประพฤติมิชอบ
ขณะนี้ อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ต้องรับโทษในคุก เป็นกรรมเก่า ตามคำพิพากษาคดีทุจริตประพฤติมิชอบในอดีต 3 คดี
คดีหมายเลขแดงที่ อม ๔/๒๕๕๑ คดีหมายเลขแดงที่ อม ๕/๒๕๕๑ และคดีหมายเลขแดง ที่ อม ๑๐/๒๕๕๒
ต้องโทษจำคุก รวม 8 ปี แต่หนีคดีไปต่างประเทศ เคลื่อนไหวทางการเมือง (เกิดเหตุการณ์เสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง ล้มประชุมอาเซียนฆ่าทหาร ก่อการร้ายกลางกรุง) ระหว่างนั้น มีอดีตรัฐมนตรีคนใกล้ชิดทุจริตติดคุกอีกหลายคน
เมื่ออดีตนายกฯทักษิณกลับมารับโทษ ก็ยังไม่ยอมติดคุกจริงๆ ทั้งๆ ที่ ได้รับพระราชทานอภัยลดโทษเหลือ 1 ปี แต่กลับไปอยู่โรงพยาบาลตำรวจชั้น 14 โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ผิดกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง กระทั่งศาลฎีกาฯ มติเอกฉันท์ มีคำสั่งให้ต้องกลับเข้าคุกจริงๆ ต้องรับโทษจำคุก 1 ปี ตามคำพิพากษาเดิม
2.1 คดีทุจริตเงินกู้เอ็กซิมแบงก์ คุก 3 ปี
ช่วงปี 2546 - 2547 ทักษิณ ชินวัตร อาศัยความเป็นนายกฯ สั่งการเอ็กซิมแบงก์ปล่อยเงินกู้ให้รัฐบาลทหารพม่า 4,000 ล้านบาท เอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของครอบครัวตัวเอง
นายสุรเกียรติ์ยืนยันว่า “ไม่สมควรจะมีความร่วมมือด้านโทรคมนาคมเป็นการเฉพาะกับประเทศไทย เนื่องจากนายกรัฐมนตรีไทยเป็นเจ้าของกิจการโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดภายในประเทศ ซึ่งจะนำไปสู่ข้อครหาว่ามีผลประโยชน์ส่วนตัวเกี่ยวข้อง”
นายทักษิณสั่งการว่า “เราให้หลักการขอไว้ 3,000 ล้านบาทเมื่อเขาขอมา 5,000 ล้านบาท ก็ให้พบกันครึ่งทาง ให้เขา 4,000 ล้านบาท และให้นายสุรเกียรติ์ แจ้งไปว่า นายกฯ ทักษิณสั่งการว่าให้เพิ่มเป็น 4,000 ล้านบาท และจะให้การอุดหนุนส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย”
ในที่สุด เอ็กซิมแบงก์ต้องอนุมัติสินเชื่อ 4,000 ล้านบาท แก่รัฐบาลพม่า ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี ต่ำกว่าต้นทุนในขณะนั้น รวมทั้งขยายระยะเวลาปลอดการชำระหนี้การจ่ายเงินต้นจาก 2 ปี เป็น 5 ปี
กระทรวงการคลังต้องจัดสรรงบประมาณรายจ่าย ปี’49 และ ปี’50 ชดเชยความเสียหาย
แม้ในภายหลัง ทางพม่าจะได้ชำระหนี้จนครบถ้วนเมื่อเดือนสิงหาคม 2559 แต่นั่นก็ภายหลังจากการกระทำผิดสำเร็จแล้ว และเป็นการชำระหนี้ในยุคหลัง
ศาลฎีกาฯ พิพากษาลงโทษนายทักษิณ ชินวัตร ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 จำคุก 3 ปี
2.2 คดีทุจริตหวยบนดิน 2 ตัว 3 ตัว คุก 2 ปี
ในยุครัฐบาลทักษิณ ดำเนินโครงการหวยบนดิน สั่งให้กองสลากเป็นเจ้ามือหวยเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว โดยไม่รอแก้ไขกฎหมายรองรับ ไม่ต้องการให้เงินจากการขายสลากถูกจัดสรรเข้าเป็นรายได้แผ่นดิน แถมกู้เงิน 20,000 ล้านบาท จาก “ธนาคารออมสิน” มาสำรองหน้าตัก เพราะสลากเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว เป็นสลากกินรวบที่กองสลากอาจขาดทุนบางงวด เหมือนเจ้ามือหวยใต้ดิน ไม่มีการจำกัดวงเงินรางวัล เป็นเรื่องการพนันขันต่อ แล้วก็เคยขาดทุนจริงๆ 7 งวด
ยิ่งกว่านั้น รายได้จากการขายหวยบนดินก็ไม่ได้จัดสรรปันส่วนนำส่งเข้าเป็นเงินแผ่นดินตามกฎหมายสลากกินแบ่ง แต่ใช้อุบายออกระเบียบใช้จ่ายเงินเอง ไม่ผ่านการตรวจสอบของ สตง.
ระหว่างดำเนินโครงการหวยบนดิน ตั้งแต่งวด 1 ส.ค.2546 ถึงงวด 16 ก.ย. 2549 ได้เงินจากการขายหวยบนดินทั้งสิ้น 123,339 ล้านบาท หักเงินรางวัลจ่ายให้ผู้ถูกรางวัล 69,242 ล้านบาท
เหลือกำไรอยู่มากกว่า 5 หมื่นล้านบาท
ที่คุยโม้โอ้อวด ว่านำเงินหวยบนดินมาเป็นทุนการศึกษา เป็นโครงการช่วยเหลือเด็กยากจนต่างๆ นานานั้น เป็นแค่เงินส่วนน้อย ไม่ถึงหมื่นล้านบาท
แสดงว่า ยังมีเงินที่กินมาจากชาวบ้าน ไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นล้านบาท หายไปไหน?
ศาลฎีกาฯ ระบุชัดเจนว่า การจำหน่ายสลากดังกล่าว เป็นการจัดให้มีการเล่นพนัน เป็นเจ้ามือรับกินรับใช้ โดยไม่มีกฎหมายให้อำนาจ
พิพากษาลงโทษนายทักษิณ ชินวัตร ผิดอาญา 157 จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา
2.3 คดีแปลงสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิตเอื้อหุ้นชินคอร์ปฯ คุก 5 ปี
อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ขณะเป็นนายกฯ ให้บุคคลอื่น (นอมินี)ถือหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) แทน
โดยที่บริษัท ชินคอร์ปฯ เป็นคู่สัญญาต่อหน่วยงานของรัฐ และมีการใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์แก่หุ้นชินคอร์ปฯด้วย
ศาลฎีกาฯ วินิจฉัยในสาระสำคัญว่า นายทักษิณยังคงถือหุ้นบริษัท ชินคอร์ปฯ ซึ่งเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานรัฐ โดยให้บุคคลอื่นมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นแทน อันเป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม
นายกฯทักษิณยังได้มอบนโยบายและสั่งการให้ตรา พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตฯ โดยมีมติคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีและยกเว้นภาษีสรรพสามิต(ฉบับที่ 68) ลงวันที่ 28 ม.ค. 2546 ให้ลดพิกัดอัตราและยกเว้นภาษีสรรพสามิตสำหรับกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ จากอัตราร้อยละ 50 เหลือร้อยละ 10
และมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2546 เห็นชอบแนวทางให้คู่สัญญาภาคเอกชนนำภาษีสรรพสามิตมาหักออกจากส่วนแบ่งรายได้ หรือค่าสัมปทานที่คู่สัญญาภาคเอกชนจะต้องนำส่งให้คู่สัญญาภาครัฐได้
การดำเนินการดังกล่าว เพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท แอดวานซ์อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ซึ่งได้รับสัมปทานดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่จากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทศท.ชื่อขณะนั้น) และบริษัท ดิจิตอลโฟน จำกัด หรือบริษัท ดีพีซี ได้รับสัมปทานดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่จากการสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท. ชื่อขณะนั้น) โดยทั้ง 2 บริษัท เป็นบริษัทในเครือของบริษัทชินคอร์ปฯ ซึ่งจำเลยเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เพื่อให้ทั้ง 2 บริษัทได้รับคืนเงินภาษีสรรพสามิตที่ชำระแล้ว โดยมีสิทธินำไปหักออกจากค่าสัมปทานที่ต้องนำส่งให้ ทศท. และ กสท.
เป็นผลให้ ทศท. และ กสท. ได้รับความเสียหาย
ศาลฎีกาฯ ชี้ว่า การกระทำของจำเลย เป็นการเข้ามีส่วนได้เสียในกิจการโทรคมนาคม และเป็นผลให้บริษัทที่จำเลยเป็นผู้ถือหุ้นได้รับประโยชน์ อันเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และโดยทุจริต
พิพากษาว่า จำเลย (นายทักษิณ ชินวัตร) มีความผิด ให้ลงโทษฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ จำคุก 2 ปี และฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการเข้ามีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น เนื่องด้วยกิจการนั้น จำคุก 3 ปี รวมเป็นจำคุก 5 ปี
ทั้งหมด ยังไม่นับคดีทุจริตประพฤติมิชอบ ที่คนใกล้ชิดถูกตัดสินคดีถึงที่สุด อาทิ คดีอดีตผู้บริหารทศท.ลดค่าสัมปทานให้เอไอเอส คดีแก้สัญญาสัมปทานดาวเทียม คดีทุจริตระบายข้าวจีทูจีเก๊ คดีธรณีสงฆ์อัลไพน์ คดีสินบนบ้านเอื้ออาทร คดีอดีตนายกฯอุ๊งอิ๊งคุยฮุนเซนไม่รักษาเกียรติภูมิประเทศชาติ ฯลฯ
โปรดอย่ามองข้าม “ความจริง” ในคำตัดสินของศาล คดีถึงที่สุดแล้ว
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี