ความคืบหน้าการอุทธรณ์คดีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 กรณีให้สัมภาษณ์กับสื่อเกาหลีใต้พาดพิงสถาบันฯ เมื่อปี 2558
ขณะนี้ คณะทำงานอัยการที่รับผิดชอบสำนวนคดีนี้ มีความเห็นไม่อุทธรณ์คดี แล้วมีการส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด (อสส.) คนปัจจุบัน พิจารณาตามขั้นตอน ปัจจุบันเรื่องอยู่ที่หน้าห้อง อสส.
ประเด็นมีข้อควรพิจารณา ดังต่อไปนี้
1. คดีนี้ ศาลอาญา (ศาลชั้นต้น) พิพากษาเมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2568 ยกฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร ในข้อหามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้เมื่อปี 2558
หากไม่อุทธรณ์ นายทักษิณ ชินวัตร ก็รอด เพราะคดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
หากอัยการสูงสุดอุทธรณ์ คดีอันสำคัญต่อพระเกียรติของสถาบันพระมหากษัตริย์นี้ ก็จะขึ้นสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ตามขั้นตอนและกระบวนการยุติธรรมที่ควรจะเป็น
ความน่าชื่อถือขององค์กรอัยการ ในฐานะ “ทนายของแผ่นดิน” อยู่ที่การต่อสู้คดีอย่างสมเกียรติ สมภาคภูมิ
มิให้เกิดข้อครหาว่าเอื้อประโยชน์ทางคดีแก่ผู้ตกเป็นจำเลยในคดีอาญาแผ่นดินเสียเอง โดยเฉพาะคดี 112 ที่จำเลยถูกกล่าวหาว่ากระทำการจาบจ้วงล่วงละเมิดองค์พระมหากษัตริย์ไทยต่อสื่อต่างประเทศ
สำหรับคดีนี้ เป็นคดีนอกราชอาณาจักร ผู้มีอำนาจพิจารณายื่นอุทธรณ์ ได้แก่ อัยการสูงสุด
ขณะนี้ ยังไม่มีความชัดเจนจากอัยการสูงสุดคนปัจจุบัน คือ “นายไพรัช พรสมบูรณ์ศิริ” ว่าจะอุทธรณ์หรือไม่
ล่าสุด อัยการได้ยื่นขอขยายระยะเวลาพิจารณาไปถึงวันที่ 22 ต.ค. 2568
2. มีรายงานข่าวว่า คณะกรรมการพิจารณาคดีมาตรา 112 ของอัยการ ได้ลงมติ 8 ต่อ 2 เสียง
มีความเห็นไม่ยื่นอุทธรณ์คดีที่อัยการสูงสุด (อำนาจ เจตน์เจริญรักษ์ อสส.คนที่ฟ้อง) โดยพนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 8 ยื่นฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร ในความผิดฐานดูหมิ่นสถาบัน ม. 112 เเละความผิดเกี่ยวกับพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ
รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านี้ นายไพรัช พรสมบูรณ์ศิริ อสส.คนปัจจุบัน มีคำสั่งให้นำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณากลั่นกรองของคณะกรรมการคดีมาตรา 112 ของอัยการ ที่มีนายอิทธิพร แก้วทิพย์ รองอัยการสูงสุด (ว่าที่อัยการสูงสุด 1 ต.ค. 2568 นี้) เป็นประธาน
ที่ประชุมมีมติ 8-2 เห็นควรไม่อุทธรณ์
นายไพรัช พรสมบูรณ์ศิริ อสส.คนปัจจุบันยังมีเวลาพิจารณาว่าจะอุทธรณ์หรือไม่ ก่อนจะพ้นวาระ 1 ต.ค.นี้
สำหรับคดี 112 ของนายทักษิณ เป็นคดีนอกราชอาณาจักรอำนาจพิจารณายื่นอุทธรณ์เป็นของอัยการสูงสุด การพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาคดี 112 จึงเป็นการกลั่นกรองให้อัยการสูงสุด ไม่ใช่การสั่งคดี
ที่ผ่านมา คดี 112 หลายคดี ศาลชั้นต้นยกฟ้องจำเลย
ส่วนใหญ่ (เกือบทั้งหมด) อัยการจะยื่นอุทธรณ์
และผลคำพิพากษาในชั้นศาลอุทธรณ์ ปรากฏว่า หลายคดี ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ เป็นเอาผิดจำเลยได้
แม้แต่คดีมาตรา 110 คุกคามเสรีภาพพระราชินี ศาลชั้นต้นยกฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ จำคุกนายเอกชัยหงส์กังวาน 21 ปี และพวกอีกคนละ 16 ปี ซึ่งถ้าหากอัยการไม่อุทธรณ์ก็จะทำให้พวกจำเลยลอยนวล รอดพ้นความผิดไปโดยปริยาย
คดี 112 ของนายทักษิณ ชินวัตร จะมีเหตุอะไรที่จะไม่อุทธรณ์?
การไม่อุทธรณ์ ย่อมเป็นประโยชน์แก่จำเลย คือนายทักษิณ ชินวัตร โดยตรง
3. ควรอุทธรณ์คดีให้สิ้นกระแสความ เพื่อธำรงความยุติธรรม ปกป้องพระเกียรติ และรักษาความน่าเชื่อถือของสถาบันอัยการ คำพิพากษาศาลชั้นต้นยังมีช่องทางอุทธรณ์ เพื่อให้ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจพิจารณาน้ำหนักของพยานหลักฐานและข้อกฎหมายเพิ่มเติมได้
เมื่อพิจารณาคำพิพากษาของศาลชั้นต้น คดีหมายเลขดํา อ.1860/2567 ตามข้อมูลข่าวสารที่สำนักงานศาลยุติธรรมได้เผยแพร่เอกสารข่าวไว้ จะเห็นว่า เหตุที่ศาลชั้นต้นยกฟ้อง เพราะยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
แต่หลักฐานเท่าที่มีในศาลอาญาชั้นต้น ก็ระบุไว้ชัดเจนว่า คลิปสัมภาษณ์นายทักษิณไม่ได้มีการตัดต่อเสริมแต่ง หรือบิดเบือน เพียงแต่การพิจารณาใช้ดุลพินิจตีความนั่นเองที่ทำให้นายทักษิณรอด
เพราะฉะนั้น ตามหลักฐานเท่าที่มีอยู่เดิม เมื่อไปถึงศาลอุทธรณ์ การตีความอาจเปลี่ยนไปได้ ขึ้นกับดุลพินิจของผู้พิพากษา
ข้อสังเกตประเด็นสำคัญที่ปรากฏในคำพิพากษาศาลชั้นต้น
(1) คลิปสัมภาษณ์ไม่ได้เป็นการตัดต่อหรือเสริมแต่งเพื่อใส่ความให้ร้ายจําเลย โจทก์มีพยานซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตํารวจ และพยานปากนายอนันต์ เหล่าเลิศวรกุล มาเบิกความยืนยันว่าดูคลิปวิดีโอหมาย วจ.1 และ วจ.2 แล้ว เห็นว่าเป็นการกล่าวถ้อยคําให้สัมภาษณ์จําเลยจริง
“แม้โจทก์ไม่มีคลิปให้สัมภาษณ์ของจําเลยฉบับเต็มมา เป็นหลักฐาน แต่เมื่อพยานโจทก์ต่างยืนยันว่าคลิปวิดีโอหมายวจ.1 และ วจ.2 เป็นคลิปให้สัมภาษณ์ของ จําเลยบางช่วงบางตอนและพยานโจทก์เห็นว่าสามารถนํามาใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีได้
ส่วนที่จําเลย อ้างว่าเป็นการตัดต่อคลิปวิดีโอไม่ปรากฏว่าเป็นการติดต่อในส่วนใดและส่วนไหนไม่ถูกต้องหรือไม่ตรงกับความจริง จึงเป็นการกล่าวอ้างโดยไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้มาสนับสนุนหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ประกอบกับจําเลยยังเบิกความตอบโจทก์ถามค้าน รับว่าบุคคลและเสียงในคลิปวิดีโอหมาย วจ.1 และ วจ.2 เป็นจําเลย
พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักรับฟังได้ว่า จําเลยให้สัมภาษณ์นักข่าวที่สาธารณรัฐเกาหลี ตามคลิปวิดีโอหมาย วจ.1 และ วจ.2 โดยมีเนื้อหาของข้อความตามคําฟ้อง ไม่ได้เป็นการตัดต่อหรือเสริมแต่งเพื่อใส่ความให้ร้ายจําเลย” –คำพิพากษาศาลชั้นต้น
(2) ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจในการรับฟังพยาน การตีความคำพูดของทักษิณ
“…เมื่อพิจารณาข้อความหรือถ้อยคําให้สัมภาษณ์ของจําเลย มิได้ใช้คําว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9”โดยตรง และไม่ได้ใช้ถ้อยคําสรรพนามที่อ้างถึงบุคคลที่สามโดยมีคําราชาศัพท์หรือถ้อยคําที่สามารถระบุเฉพาะเจาะจงให้เข้าใจได้ว่าหมายถึงพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด
หากแต่ใช้คําสรรพนามบุรุษที่ 3 ว่า “เขา” เรียกแทน บุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือบุคคลอื่นหลายคนรวมกัน
และยังมีคําว่า “องคมนตรี” “ทหาร” “Palace Circle” และ “คนในวัง” ล้วนแต่อยู่ในประโยคคําให้สัมภาษณ์ของจําเลย
…พยานหลักฐานทั้งหมดที่โจทก์นําสืบมา จึงยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่า จําเลยกล่าวข้อความตามคําฟ้องโดยเจตนาหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 หรือเมื่อวิญญูชนทั่วไปได้พบเห็นหรืออ่าน
ข้อความที่จําเลยกล่าวแล้วจะเข้าใจได้ว่าหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9…”
คดีนี้ สมควรที่อัยการสูงสุดจะต้องอุทธรณ์ เพื่อให้สิ้นกระแสความ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม เพื่อปกป้องพระเกียรติของสถาบันพระมหากษัตริย์ และรักษาความน่าเชื่อถือของสถาบันอัยการเอง เพราะศาลอุทธรณ์ย่อมจะสามารถใช้ดุลนิพิจ ดุลยธรรม พิเคราะห์ชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานประกอบข้อกฎหมายได้ว่า จำเลย คือ นายทักษิณ พูดหมายความถึงใคร? เข้าข่ายความผิดหรือไม่? จะเห็นพ้องกับศาลชั้นต้นหรือเห็นต่างอย่างไร?
ยิ่งกว่านั้น ในคำพิพากษาของชั้นต้น ยังระบุด้วยว่า
“ในขณะที่การสืบพยานหลักฐานของโจทก์ (อัยการ) ไม่สมกับภาระการพิสูจน์ในคดีอาญาว่าจําเลยกระทําความผิดตามฟ้อง…”
หากอัยการสูงสุดไม่อุทธรณ์ โดยปล่อยให้คดีจบลงตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น สถาบันอัยการอาจจะต้องมลทิน มัวหมอง เพราะถูกครหาว่าช่วยเหลือจำเลยคดี 112 เสียเอง หรือไม่?
4. ในอดีต กรณีศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีคำพิพากษายกฟ้องนายพานทองแท้ ชินวัตรบุตรชายนายทักษิณ ในคดีฟอกเงินจากกรณีธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้เครือกฤษดามหานคร
ปรากฏว่า อัยการไม่ยื่นอุทธรณ์
เมื่อความเห็นอัยการถูกส่งไปที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และดีเอสไอทำความเห็นแย้งส่งกลับไปยังอัยการสูงสุด ว่าคดีนี้มีประเด็นสำคัญควรให้ศาลสูงวินิจฉัย จึงขอให้อุทธรณ์คดีดังกล่าว
แต่ต่อมา นายเนตร นาคสุข รอง อสส. คนที่ 1 ทำหน้าที่รักษาราชการแทนนายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ ก็เห็นว่าไม่อุทธรณ์คดี
ทั้งๆ ที่ คดีดังกล่าว ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนเห็นว่าจำเลยมีความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน ให้ลงโทษจำคุก 4 ปี มีการบันทึกไว้เป็นความเห็นแย้งท้ายคำพิพากษาด้วย แต่เนื่องจากคดีนี้องค์คณะผู้พิพากษา (มี 2 คน) มีความเห็นต่างกันในการตัดสิน จึงได้นำความเห็นที่มีผลร้ายน้อยที่สุดกับจำเลยมาเป็นคำพิพากษา หากคู่ความยื่นอุทธรณ์ ความเห็นแย้งของผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนก็จะขึ้นสู่ศาลอุทธรณ์ทราบด้วย แต่ในที่สุดคดีนี้ก็จบตามคำพากษาศาลชั้นต้น เพราะอัยการไม่อุทธรณ์
นอกจากนี้ อัยการยังสั่งไม่ฟ้องคดีฟอกเงินกรุงไทย เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงและสามี หลังหลบหนีไปกว่า 3 ปีด้วย ฯลฯ
แต่ในกรณีคดี 112 ของนายทักษิณ ชินวัตร ถือว่าเป็นคดีสำคัญ คดีนอกราชอาณาจักร กระทบต่อพระเกียรติ ตลอดจนความน่าเชื่อถือและศรัทธาต่อกระบวนการยุติธรรมของราชอาณาจักรไทย อัยการสูงสุดในฐานะผู้บริหารสูงสุดของสถาบันอัยการ พึงตระหนักในอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบในฐานะทนายแผ่นดิน สมควรที่อัยการสูงสุดจะต้องอุทธรณ์ เพื่อให้ศาลสูงได้พิจารณาให้สิ้นกระแสความ
มิฉะนั้น ย่อมจะเป็นตราประทับติดตัวตลอดไป จนกว่าชีวิตจะหาไม่
ส่วนจะเป็นตราบาป หรือตราแห่งเกียรติยศและศักดิ์ศรี ก็อยู่ที่ประวัติศาสตร์จะจารึกเอาไว้
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี