ปัจจุบัน ประเทศไทยเรา มีทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศ ประมาณ 234 ตัน
มูลค่าเกือบ 1 ล้านล้านบาท
มากที่สุด เป็นอันดับ 5 ของเอเชีย โดยเป็นรองแค่จีน ญี่ปุ่น อินเดีย อุซเบกิสถาน และคาซัคสถาน
1. ความจริง การบริหารจัดการทุนสำรองฯ เป็นอำนาจหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย
แต่ก่อนจะมาถึงตรงนี้…
ย้อนหลังไป เมื่อเดือน ต.ค.ปี 2558 เรามีทองคำอยู่ในทุนสำรองฯ มูลค่า 190,000 ล้านบาท
27 ก.ค. 2558 ครม. นายกฯลุงตู่ เห็นชอบ ดร.วิรไท สันติประภพ เป็นผู้ว่าการ ธปท.
ตามที่คณะกรรมการสรรหาฯ ที่มีนายอำพน กิตติอำพน เป็นประธานฯ (ปัจจุบันเป็นองคมนตรี) โดย รมว.คลัง คุณสมหมาย ภาษี เสนอเข้า ครม. ลุงตู่ เห็นชอบ
กระทั่ง ดร.วิรไท พ้นตำแหน่ง ผู้ว่าการ ธปท. ต.ค. 2563 (เป็นคณะที่ปรึกษาของนายกฯลุงตู่)
ถึงวันนั้น ต.ค. 2563 ไทยเรามีทองคำในทุนสำรองฯ 154 ตัน คิดเป็นมูลค่า 289,000 ล้านบาท
ต่อมา …
ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ (เป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจของนายกฯ ลุงตู่) เข้ามาเป็นผู้ว่าการ ธปท.
ผ่านการสรรหาของคณะกรรมการสรรหาฯ ชุดที่มีอดีตปลัดคลัง ดร.รังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ เป็นประธาน โดย รมช.คลัง นายสันติ พร้อมพัฒน์ เสนอชื่อเข้า ครม.ลุงตู่เห็นชอบ เมื่อ 28 ก.ค.2563
กระทั่ง ดร.เศรษฐพุฒิ พ้นตำแหน่งผู้ว่าการ ธปท. ต.ค. 2568
ณ เดือน ต.ค. 2568 ประเทศไทยเรามีทองคำในทุนสำรองฯ ประมาณ 244 ตัน
มูลค่ากว่า 914,050 ล้านบาท
(จริงๆ มีทองคำ 244 ตัน แต่หักออกจากบัญชีไป 9.6 ตัน เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานบัญชี IMF)
หากนับเฉพาะช่วง ดร.เศรษฐพุฒิเป็นผู้ว่าการ ธปท. เท่ากับว่า เรามีทองคำในทุนสำรองฯ เพิ่มขึ้น 90 ตัน
มูลค่าทองคำที่มีอยู่เพิ่มขึ้นกว่า 625,00 ล้านบาท
หรือถ้าคิดตั้งแต่สมัยผู้ว่าการ ธปท. ดร.วิรไท ต่อเนื่องมาจนกระทั่งหมดสมัยผู้ว่าการ ธปท.ดร.เศรษฐพุฒิ (2 ผู้ว่าการ ธปท.ยุครัฐบาลลุงตู่) ไทยเรามีทองคำในทุนสะสมเพิ่มขึ้นคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 7 แสนล้านบาท!!!
ด้วยเหตุนี้ จึงขอบคุณคนทำงานจริง และขอบคุณคนที่เอื้อให้สามารถทำงานได้สำเร็จ ท่ามกลางคลื่นลมมรสุมรุมถล่มขณะนั้น
2. ข้อมูลความจริงโกหกไม่ได้
ช่วงเวลาที่ไทยเรามีทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศ เพิ่มขึ้นมากที่สุด ก็คือช่วงสมัยที่ผู้ว่าการ ธปท. ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ (ที่ปรึกษาเศรษฐกิจของนายกฯ ลุงตู่) บริหารจัดการ ธปท. และทุนสำรองระหว่างประเทศ
ซึ่งในยุคผู้ว่าการ ธปท. ดร.วิรไท ต่อเนื่องถึงยุคผู้ว่าการ ธปท. ดร.เศรษฐพุฒิ คือ 2 ผู้ว่าการ ธปท. ที่เห็นชอบแต่งตั้งโดยรัฐบาลนายกฯลุงตู่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
ยังจำได้ว่า มีบางคนบางกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์โจมตีการทำงาน
แต่ในที่สุด ทั้ง ดร.วิรไท และดร.เศรษฐพุฒิ ก็ทำงานเกิดผลสำเร็จ แม้จะไม่สมบูรณ์แบบทุกมิติ แต่ได้รับเสียงชื่นชมจากมืออาชีพมากมาย
ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ได้รับรับรางวัล “ธนาคารกลางแห่งปี” (Central bank of the year) ในปี 2025 จาก “Central Banking” สำนักข่าวและวารสารด้านนโยบายการเงินและการกำกับดูแลสถาบันการเงินระดับโลกสัญชาติอังกฤษที่ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ
“รางวัลนี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความพยายามร่วมกันของทีมงานธนาคารแห่งประเทศไทยทุกคน ในปีที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจระดับโลกและความท้าทายภายในประเทศพวกเราทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ พร้อมทั้งมุ่งมั่นในการรักษาเสถียรภาพราคาและเสถียรภาพระบบการเงินในระยะยาว ตลอดจนการเตรียมความพร้อมของภาคการเงินเพื่อรับมือกับความท้าทายในอนาคต” - ดร.เศรษฐพุฒิกล่าวในการรับรางวัล
3. ทองคำช่วยชาติ จากหลวงตามหาบัว
พระธรรมวิสุทธิมงคล หรือ “หลวงตามหาบัว” จัดตั้งผ้าป่าช่วยชาติขึ้น ได้รับการสนับสนุนจากลูกศิษย์และประชาชนที่ศรัทธาอย่างมาก กระทั่งได้ส่งมอบทองคำและเงินตราต่างประเทศให้แก่ ธปท. เพื่อนำเข้าเป็นสินทรัพย์ในทุนสำรองเงินตรา เป็นทองคำน้ำหนักรวมกว่า 14 ตัน
นี่คือตัวอย่างพลังศรัทธาอันงดงามอย่างยิ่ง
ปัจจุบัน ทองคำและสินทรัพย์ที่ได้รับบริจาคทั้งหมดถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี มีการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุด โดยมีเจ้าหน้าที่ของ ธปท. และคณะกรรมการจากหน่วยงานภายนอก เช่น สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เข้าตรวจสอบเป็นประจำทุกปี นอกจากนี้ ธปท. ยังเปิดเผยยอดรับบริจาคทางเว็บไซต์ bot.or.th ซึ่งมีข้อมูลตั้งแต่เริ่มต้นรับบริจาคเพื่อความโปร่งใสให้ประชาชนทุกคนตรวจสอบได้
ในยุคผู้ว่าการ ธปท. ดร.เศรษฐพุฒิ ดำเนินการแยกสินทรัพย์ที่รับบริจาคจากโครงการนี้ไว้อย่างชัดเจน ใน “บัญชีสำรองพิเศษ” ภายใต้ทุนสำรองเงินตรา โดยสินทรัพย์ในบัญชีนี้สามารถใช้เพื่อหนุนหลังธนบัตรออกใช้ได้เฉพาะกรณีที่จำเป็นเท่านั้น จึงมั่นใจได้ว่า สินทรัพย์ที่ได้รับบริจาคมาทั้งหมดจะทำหน้าที่เป็นสมบัติของชาติ ตามเจตนารมณ์แรกของหลวงตามหาบัวสืบไป
4. ประเด็นเกี่ยวกับเรื่องการปรับตัวเลขปริมาณทองคำในทุนสำรองฯ เมื่อสิ้นเดือนมี.ค.2567 เป็นผลจากมาตรฐานไอเอ็มเอฟ โดยเป็นการปรับตัวเลขในรายงานเท่านั้น
ธปท.ชี้แจงว่า IMF กำหนดให้เรานับเฉพาะทองคำที่มีความบริสุทธิ์สูงกว่า 99.5 เปอร์เซ็นต์เป็นต้นไป มาเป็นเงินสำรองระหว่างประเทศ ทำให้ ธปท.จะไม่นับทองคำที่ได้รับโอนจากกระทรวงการคลัง เมื่อสมัยธปท.เริ่มก่อตั้งหรือเมื่อ 80 ปีที่แล้ว เพราะทองจำนวนนั้น 9.6 ตัน สมัยนั้นค่าบริสุทธิ์ไม่ได้สูงเหมือนกับสมัยนี้ ค่าความบริสุทธิ์เฉลี่ยที่ 92 เปอร์เซ็นต์ จึงไม่ได้นับเป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ จึงทำให้การรายงานทองสำรองระหว่างประเทศลดลง จาก 244.1 ตัน 234.5 ตัน
5. ล่าสุด เพจ Bangkok I Love You นำเสนอข้อมูล สรุปว่า “ทองคำ 90 ตัน มรดกยุคลุงตู่ให้คนไทย”
ทำให้มีคนไทยเข้าไปแสดงความยินดี ภูมิใจกันมากมาย
ระบุว่า “..ยุคลุงตู่ ซื้อทองเข้าคลัง 90 ตัน ปี 2564 วันนี้กำไรแล้ว 1 เท่าตัว
..ย้อนกลับไปเมื่อปี 2564 รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญ คือการซื้อทองคำเข้าคลังเป็นปริมาณมหาศาลกว่า 90 ตัน ซึ่งหากคิดตามมาตรฐานน้ำหนักทองคำไทย เท่ากับประมาณ 5.9 ล้าน “บาททองคำ”
ในเวลานั้น ราคาทองคำอยู่ที่ บาทละราว 30,000 บาท การตัดสินใจดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อย แต่รัฐบาลอธิบายว่าเป็นการเพิ่มเสถียรภาพสำรองเงินตรา และถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven Asset) ที่ทั่วโลกยอมรับ
ผ่านมา 4 ปี กำไรพุ่ง 1 เท่าตัว
ปัจจุบัน (ปี 2568) ราคาทองคำในตลาดโลกและไทยปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยราคาทองคำแท่งในประเทศทะลุ บาทละกว่า 60,000 บาท หรือเพิ่มขึ้น เท่าตัวจากปี 2564
นั่นหมายความว่า ทองคำสำรองที่รัฐบาลไทยซื้อเก็บไว้ในยุคลุงตู่ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นจาก ประมาณ 177,000 ล้านบาท กลายเป็นกว่า 350,000 ล้านบาท ในวันนี้
ความหมายเชิงเศรษฐกิจ การถือทองคำจำนวนมากทำให้ไทยมี “กันชน” รองรับวิกฤตเศรษฐกิจโลก เป็นการกระจายความเสี่ยง ไม่ต้องพึ่งพาเงินสกุลหลักอย่างเดียว
กำไรที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว แสดงให้เห็นถึงผลประโยชน์ระยะยาวต่อความมั่นคงทางการเงินของประเทศ
การซื้อทองเข้าคลัง 90 ตัน ในยุคลุงตู่ ปี 2564 จากราคาบาทละ 30,000 บาท ถึงวันนี้กลายเป็นการลงทุนที่สร้างกำไรระดับ “หนึ่งเท่าตัว” ภายในเวลาเพียง 4 ปี ถือเป็นการตัดสินใจทางเศรษฐกิจที่สร้างผลลัพธ์ชัดเจนในประวัติศาสตร์ไทย..”
ในความเห็นส่วนตัว ผมเห็นว่า ข้อมูลข้างต้น ใช้วิธีการเปรียบเทียบมุ่งให้เห็นภาพชัดเจน อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง “ยุคลุงตู่” เป็นที่น่าภาคภูมิใจยินดี
เพราะช่วงเวลาเดียวกัน ไม่ใช่ทุกประเทศจะสามารถทำได้อย่างประเทศไทย
ตรงกันข้าม บางประเทศเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ขาดแคลนทุนสำรองฯ เงินเฟ้อมหาโหด ธุรกิจปิดตัวเลิกจ้าง เงินทุนไหลออก ชีวิตประชาชนล่มสลาย
ดังนั้น ประเทศไทยเราไม่ควรประมาท ทุนสำรองฯ อาจลดลงได้อย่างรวดเร็ว หากเกิดวิกฤต ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่อง ประเทศชาติขาดความมั่นคง ขาดความน่าเชื่อถือ เพราะฉะนั้น ประเทศไทยควรส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนประสานการทำงาน เพื่อความมั่งคั่ง ยั่งยืน ของประเทศต่อไป
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี