วันพฤหัสบดี ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
พรรคประชาชนเป็นพรรคฝ่ายค้านที่ชอบอ้างว่าเป็น“คนรุ่นใหม่” และคนไทยจำนวนไม่น้อยทั้งหนุ่มสาวตลอดจนผู้ที่อยู่ในวัยกลางคนและสูงอายุต่างก็หลงเชื่อ พิสูจน์ให้เห็นว่าช่วง 2 ปีกว่าในฐานะฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ประชาชนไม่สามารถพึ่งพาและฝากความหวังได้
เพราะการดำเนินงานทางการเมืองของ สส.พรรคนี้หมกมุ่นวุ่นวายอยู่กับเรื่องของตนเอง โดยเฉพาะเรื่องรัฐธรรมนูญ ที่มีผลเกี่ยวเนื่องไปถึงการเซาะกร่อนบ่อนทำลายกองทัพ และสถาบัน อันเป็นสาเหตุทำให้พรรคก้าวไกลต้องถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคและอวตารมาเป็นพรรคประชาชนในวันนี้
เรื่องเกี่ยวกับปัญหากัมพูชาก็เช่นกัน ในสมัยที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลนั้น ไม่เคยเห็นพรรคประชาชนเคลื่อนไหวควบคุมตรวจสอบรัฐบาลเข้มข้นและถี่กระชั้นเหมือนอย่างที่ทำกับรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ในเวลานี้
นั่นก็อาจจะเป็นเพราะสมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ด้วยเหตุที่มี“ดีลลับฮ่องกง”ระหว่าง 2 ผู้นำของ 2 พรรคการเมืองตัวจริง คือ“ทักษิณ ชินวัตร” กับ“ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” จึงทำให้พรรคประชาชนในฐานะฝ่ายค้านทำหน้าที่แบบ“ค้านไปรอเสียบไป”
แต่มาถึงในยุครัฐบาลชุดนี้ ซึ่งพรรคประชาชนเป็นผู้กำหนดให้มีขึ้นมาได้ด้วยเสียงข้างมากที่มีอยู่ในมือ ไม่มีเหตุผลอื่นใดให้ต้องวิเคราะห์ นอกจากเพื่อสร้างคะแนนนิยมให้เข้าตาประชาชน ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งในปีหน้าเท่านั้นเอง ดังนั้น จึงเห็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองนอกสภาฯของพรรคประชาชนแบบยึดพื้นที่ข่าวไว้เต็มพิกัด ชื่อของ “รังสิมันต์ โรม” และ“รักชนก ศรีนอก” ถูกสื่ออ้างถึงและพูดถึงจนกลายเป็น“กระแสข่าวรายวัน”ติดหูติดตาประชาชน ทั้งเรื่อง“สแกมเมอร์”และเรื่องข้อพิพาท“ไทย-กัมพูชา”
ยกตัวอย่างมาให้ดูเรื่องหนึ่ง สดๆ ร้อนๆ ที่พรรคประชาชนถนัดเรื่อง“ตีกิน” และคนไทยจำนวนไม่ก็หลงเชื่อด้วย คือทำตัวเป็น“ไอ้ห้อยไอ้โหน”กระโดดฉวยเพื่อไม่ให้ตกกระแส ก็คือเรื่องทหารไทยต้องเสียขาเป็น“ขาที่ 7”จากการเหยียบทุ่นระเบิดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งทหารกัมพูชาลักลอบเข้ามาฝังในดินแดนไทย ที่บริเวณห้วยตามาเรีย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ
โดยพรรคประชาชนออกแถลงการณ์เสนอต่อรัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูล 4 ประการด้วยกัน โดยระบุว่า“เป็นมาตรการการทูตเชิงรุก ที่จะสร้างความได้เปรียบให้แก่ประเทศไทยในสถานการณ์อันสำคัญเร่งด่วนนี้” ซึ่งถ้าใครติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ก็จะรู้ว่าข้อเรียกร้องของพรรคประชาชน เป็นข้อเรียกร้องที่รัฐบาลของนายอนุทินดำเนินการไปเรียบร้อยแล้วทั้งสิ้น ตามมติของที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน หลังเกิดเหตุที่จังหวัดศรีสะเกษไม่ทันถึง 24 ชั่วโมง
จาก 4 ข้อนั้น ขอยกมาให้ดูเพียงข้อเดียว ที่รัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูล โดยกระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินไปแล้วอย่างเร่งด่วน โดยไม่ต้องรอแถลงการณ์ของพรรคประชาชน นั้นก็คือ
ให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล คุยโทรศัพท์สายตรงกับ“โดนัลด์ ทรัมป์”ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ“อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีมาเลเซียทันที ในฐานะสักขีพยานข้อตกลงสันติภาพเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 โดยให้ยืนยันจุดยืนของไทยว่า ไทยต้องการรักษาข้อตกลงให้คงอยู่เพื่อการธำรงสันติภาพระหว่างสองประเทศ และปฏิบัติตามข้อตกลงมาโดยตลอด แต่กัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลง
พร้อมกันนี้ พรรคประชาชนยังได้สำทับนายอนุทิน ชาญวีรกูล ในแถลงการณ์ ว่า รัฐบาลไทยโดยนายอนุทินต้องเรียกร้องให้กัมพูชารับผิดชอบต่อการละเมิดข้อตกลงในครั้งนี้ และรัฐบาลไทยขอสงวนสิทธิ์ในการป้องกันตนเอง หากกัมพูชายังมีพฤติการณ์ที่บ่อนทำลายสันติภาพ
จะเห็นว่าแถลงการณ์ของพรรคประชาชนดังที่ยกมานี้ นอกจากจะ“โหนกระแส”เพื่อตีกินแล้ว ก็ยังเหมือนเด็กที่เพิ่งจะละเมอตื่นขึ้นมากลางดึก เพราะรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้ดำเนินการไปแล้วทั้งหมด และเมื่อวันที่ 12 วานนี้ที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) วันเดียวกับที่พรรคประชาชนออกแถลงการณ์ นายอนุทินก็ยังก้าวล้ำไปไกลกว่าที่พรรคประชาชนเสนอ โดยได้พูดถึงอนาคตว่าจะทำอย่างไรต่อไป
คือ ทั้งไม่จำเป็นจำต้องคุยกับ“โดนัลด์ ทรัมป์”และ“อันวาร์ อิบราฮิม” ด้วยเห็นว่าข้อตกลงสันติภาพ หรือ“ปฏิญญากรุงกัวลาลัมเปอร์” ไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว หรือแม้แต่ภาษีการค้า ถ้าหากสหรัฐฯจะใช้เป็นเงื่อนไขกดดันให้ประเทศไทยกลับไปเจรจากันใหม่ นายอนุทิน ชาญวีรกุล บอกว่า“หากขายกับสหรัฐฯไม่ได้ ก็ไปหาประเทศอื่น..เราจะไม่ให้สิ่งเหล่านี้ มาเป็นตัวฉุด หรือทำให้เราเสียเปรียบ หรือทำให้อธิปไตยของเราถูกก้าวล่วง”
นายอนุทิน ชาญวีรกูล พูด ว่าอย่างนี้ “เราลงนามในปฏิญญา แต่ปฏิญญาผู้ที่ลงนามกับเราไม่ปฏิบัติ ในเมื่อไม่ปฏิบัติ ก็ไม่รู้จะเปรียบเทียบอย่างไร ก็ต้องร้องเพลง my way.. เพราะ 4 ข้อหลัก 4 ข้อคุณไม่ทำ แต่เราทำ เราทำทุกข้อ เราต้องการให้เกิดสันติภาพโดยเร็วที่สุด แต่เมื่อคุณไม่ทำ แล้วจะกลับมาทำใหม่ไม่ได้ วันนี้ประเทศไทยต้องยึดผลประโยชน์และความปลอดภัยของประชาชนคนไทยเท่านั้น”
อีกคำถามหนึ่งที่สำคัญสำหรับคนไทยส่วนใหญ่ที่อยากให้ไทยรบกับเขมรจะได้จบเรื่องจบราวกันเสียที ซึ่งผู้สื่อข่าวถามว่า“ขณะนี้มีการเตรียมกำลังทางทหารพร้อมแล้วใช่หรือไม่” นายอนุทิน ชาญวีรกูล พยักหน้ารับ ก่อนตอบว่า “แน่นอนครับ..เรามีแผนปฎิบัติอยู่แล้ว ซึ่งเรื่องความมั่นคง การป้องกันประเทศ ไม่สามารถมาพูดในลักษณะการให้สัมภาษณ์ ได้ แต่ในความรัฐมนตรีและหัวหน้ารัฐบาล เราได้มีการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ กำหนดมาตรการและผู้ปฏิบัติให้เกิดประโยชน์สูงสุด ต่ออธิปไตยของประเทศ”
“นายกฯหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล” ย้ำชัดว่า“Do it My Way!”-แบบว่า“มีรูมีหนู” ทางใครก็ทางมัน !
รุ่งเรือง ปรีชากุล

สาวไทยดับคาปอยเปต แม่ร่ำไห้! บริษัทขู่เผาศพทิ้ง หากเป็นข่าวใหญ่
'กองบิน 5'แถลงข่าวเตรียมจัดงาน'สดุดีวีรชน 8 ธันวาคม 2484'ประจำปี 2568
ทบ.ซัด'เขมร'แถลงบิดเบือน ย้ำไทยโต้กลับเพื่อป้องกันตนเอง
'นิพิฏฐ์'แนะ'สว.สำรอง' เลือกฟ้อง กกต.บางคน เหตุมีอดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาเป็น กกต.ด้วย เสี่ยงทำคดีสะดุด
เขมรมีหนาว! เสริมเขี้ยวเล็บทบ.ส่งมอบอาวุธวิจัย 'จรวดหลายลำกล้องDTI-1G'

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี