วันพฤหัสบดี ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
การดำเนินการของกองทัพ กับรัฐบาลอนุทิน ยุคนี้ สอดประสานกัน สอดรับกัน
กองทัพไม่ต้องระแวงหลัง ผู้นำประเทศไม่มีหนี้บุญคุณหรือดีลผลประโยชน์ส่วนตัวกับอังเคิล
แต่การดำเนินการตามลำดับขั้นตอน มันเหมือนเดินหมากรุกต้องเดินทีละตา ทีละสเต็ป ไม่ใช่จะให้เราเป็นฝ่ายล้มโต๊ะอย่างเดียว มันจึงอาจไม่ทันใจคนในโลกยุคโซเชียล ที่ข่าวปลอมปั่นกระแสกันเกลื่อน
1. ลำดับแรกสำคัญที่สุด คือ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชายแดน ที่เคยถูกยิงด้วยอาวุธวิถีไกล จรวดหลายลำกล้องของเขมร ที่ยกมาประชิดชายแดน ยิงข้ามไปถึงพื้นที่พลเรือนของไทยเรา
เพราะฉะนั้น หมากแรกที่ต้องขยับเร่งด่วนที่สุด คือ กัมพูชาต้องถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ชายแดนและการเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดน โดยไม่อ้างว่าเป็นเขตของกัมพูชา นี่คือทำเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชนแต่เรายังคงมีกำลังทหารทำหน้าที่ในการป้องกันและรักษาอธิปไตยของชาติอยู่ตลอดแนวชายแดน
และยังมีกองทัพอากาศ กองทัพเรือ ที่มีอาวุธวิถีไกล
ซึ่งถ้าพูดกันตามตรง สามารถโจมตีได้ถึงกรุงพนมเปญภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที
2. ประเด็นปราสาทตาควาย
พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ยืนยันชัดเจนว่า ปราสาทตาควายยังเป็นของไทยอยู่ ถ้ายังไม่สามารถจัดการเรื่องปราสาทตาควายได้ เราก็จะไม่คุยเรื่องอื่นต่อ เช่น การเปิดด่าน จะไม่มีการคุยกันเลย และได้พูดกับฝ่ายกัมพูชาไปแล้วว่าปราสาทตาควายผิดอนุสัญญาเจนีวา ใช้โบราณสถานเป็นที่มั่นทางทหาร มีการวางกับระเบิดรอบปราสาทตาควาย ซึ่งผิดอนุสัญญาออตตาวา เพราะฉะนั้น เราไม่ยอมระบุว่าเขายึดได้
พลเอกณัฐพล ระบุว่า เรื่องปราสาทตาควายรวมอยู่ในการดำเนินการในขณะนี้ด้วย ต้องเคลียร์ให้หมดทุกเรื่องและกลับไปสู่สภาพปกติ
“ยืนยันว่าเราจะไม่จบแน่นอน ถ้าไม่ได้ปราสาทตาควายคืน...
จะทำให้จบทีละเรื่อง ปัจจุบันกองทัพแก้ปัญหาแทบทุกจุด เราค่อยๆ คลี่คลายไปทีละเรื่อง ซึ่งเราจะเคลียร์อาวุธหนักให้เขาเอาออกไปก่อน เพราะถ้ายังอยู่แล้วเกิดความขัดแย้ง เราไม่อยากให้ประชาชนเดือดร้อน
...ขอความเห็นใจในเรื่องการดำเนินการ เพราะปัญหาเยอะไปหมด ปัญหาไม่ได้เพิ่งเกิดปีนี้ รัฐบาลและกองทัพพยายามแก้ปัญหาไปทีละเรื่อง ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นกองทัพและรัฐบาล เพราะเรายึดมั่นในอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติ การแก้ปัญหาต้องค่อยๆ ทำไป รับรองว่าไม่ใจเย็นแน่นอน...
ยืนยันว่ากองทัพมุ่งมั่นเต็มที่ และขอให้ประชาชนมั่นใจว่าการเปิดด่านยังไม่มีแน่นอน..”
3. กองบัญชาการกองทัพไทย ออกถ้อยแถลง ตอกย้ำว่า จะไม่ปล่อยเชลยศึก จนกว่าจะสิ้นสุดความเป็นปรปักษ์ พร้อมยืนยันว่า “ไทยไม่เสียดินแดน ไม่เสียอธิปไตย แม้แต่ตารางเซนติเมตรเดียว”
กองทัพไทยยืนยันว่า “การสิ้นสุดความเป็นปรปักษ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา” จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อฝ่ายกัมพูชาดำเนินการตาม เงื่อนไขหลัก 4 ข้อ ภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศและการสังเกตการณ์ของอาเซียน (ASEAN Observer Team: AOT) ดังนี้
.png)
“1. การถอนอาวุธประเภทจรวดออกจากพื้นที่ชายแดน
กองทัพทั้งสองประเทศจะต้องถอนอาวุธประเภทจรวดซึ่งมีอำนาจในการทำลายล้างสูงออกจากแนวชายแดนภายใต้การกำกับดูแลของคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีการถอนอาวุธแต่กองกำลังป้องกันชายแดนยังคงอยู่ในพื้นที่เดิม เพื่อรักษาอธิปไตยและความมั่นคงของชาติ
2. การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดน ต้องให้มีการดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดน 5 พื้นที่ ได้แก่ • บ้านสายโท 10 ใต้จ.บุรีรัมย์ • ช่องเหว จ.สุรินทร์ • บ้านหนองจานจ.สระแก้ว• บ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว • บ้านชำราก จ.ตราด ซึ่งขณะนี้ฝ่ายไทยได้ดำเนินการมีผลความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง
3. การปราบปรามขบวนการไซเบอร์สแกม ต้องมีการดำเนินการตาม Action Plan ที่ได้ลงนามไว้ในการประชุมเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2568
4. การบริหารจัดการพื้นที่หมู่บ้านชายแดน ต้องมีการดำเนินการตามผลการประชุม JBC สมัยวิสามัญ เมื่อวันที่21-22 ตุลาคม 2568
กองทัพไทยยังคงยืนหยัดในหลักสันติวิธี เคียงข้างประชาชน พร้อมรับมือทุกสถานการณ์ฉุกเฉินทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศ เพื่อปกป้องความมั่นคงและอธิปไตยของชาติอย่างสูงสุด”
4. เตรียมสำรวจเพื่อวางหมุดชั่วคราวบ้านหนองจานบ้านหนองหญ้าแก้ว 17 พ.ย. 2568
พลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม ระบุถึงการสำรวจและจัดทำหมุดชั่วคราวบริเวณเร่งด่วน หลักเขตที่ 42-47พื้นที่บ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว เปิดเผยว่า มีแผนจะเริ่มสำรวจเพื่อวางหมุดชั่วคราวในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ยืนยันว่าไม่กระทบสิทธิ์เขตแดนทางบกตามกฎหมายระหว่างประเทศ
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลมีความมุ่งมั่นจะนำความสงบสุขกลับมาคืนสู่คนไทยทุกคน โดยยึดหลักไม่เสียดินแดน ไม่เสียอธิปไตย แม้แต่ตารางเซนติเมตรเดียว ส่วนพื้นที่ที่ยังมีปัญหาต้องใช้กลไกทวิภาคีในการเจรจา เนื่องจากต้องยอมรับข้อเท็จจริงว่าไทยและกัมพูชามีพื้นที่ติดกัน โดยไทยยังเน้นย้ำใน 4 ข้อหลัก คือ การถอนอาวุธหนัก การเก็บกู้ทุ่นระเบิด การปราบสแกมเมอร์ และการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดน ที่กัมพูชาต้องจริงใจและจริงจังในการดำเนินการ
กรณีพื้นที่บ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว ที่ต้องเร่งดำเนินการก่อน ก็เพื่อจะได้ชัดเจน เป็นที่ยอมรับร่วมกันว่า ใครต้องอพยพออกไปจากพื้นที่ตรงไหน มีหลักอ้างอิง กัมพูชาจะเพิกเฉยไม่ได้อีกแล้ว
.png)
.png)
.png)
ที่ผ่านมา ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับหลักเขตแดนที่ 42 และ 43 ในพื้นที่อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทยเคยเปิดเผยถึงประเด็นหลักเขตแดนว่า
“หลักเขตแดนที่ 42 ตั้งอยู่ที่บ้านหนองหญ้าแก้ว(บ้านไปรจัน) ตำบลโคกสูง อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว และหลักเขตแดนที่ 43 ตั้งอยู่ที่บ้านโนนหมากมุ่น ตำบลโคกสูง อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว โดยการกำหนดแนวเขตแดนในพื้นที่ดังกล่าวเป็นเส้นตรงจากหลักเขตแดนที่ 41 มายังหลักเขตแดนที่ 42และต่อเนื่องไปยังหลักเขตแดนที่ 43 จากนั้นแนวเขตแดนจะไปตามคลองระลมระสือจนถึงหลักเขตแดนที่ 44
สำหรับกระบวนการสำรวจ ชุดสำรวจร่วมไทย–กัมพูชาได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่ 1 ของ TOR
คือ การสำรวจสภาพ และที่ตั้งของหลักเขตแดนทั้งหมด 74 หลัก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549
โดยในส่วนของหลักเขตแดนที่ 42 ได้สำรวจเมื่อวันที่ 2-29 ตุลาคม 2549 พบว่ายังอยู่ในสภาพดี แต่ทั้งสองฝ่ายมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องที่ตั้ง ประมาณ 80 เมตร
ส่วนหลักเขตแดนที่ 43 ได้สำรวจเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน–12 ธันวาคม 2549 พบว่าหลักล้ม และถูกฝังอยู่ในดินอย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงที่ตั้งที่ถูกต้องร่วมกันได้ และได้สร้างหมุดชั่วคราว (Temporary Marker: TM) ไว้ณ ตำแหน่งดังกล่าว
ผลการสำรวจร่วมทั้งหมด 74 หลัก รวมถึงหลักเขตแดนที่ 42 และ 43 ได้รับการรับรองแล้วในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา (JBC) ครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2568 แต่ยังไม่ได้มีการสำรวจแนวเขตแดนในส่วนของเส้นตรงระหว่างหลักทั้งสอง
อย่างไรก็ตาม ในหลักฐานบันทึกวาจาและแผนผังแสดงที่ตั้งหลักเขตแดนทั้งสอง ซึ่งเป็นไปตามที่ระบุในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 ได้ระบุแนวเขตแดนเป็นเส้นตรงระหว่างหลักทั้งสอง
สำหรับบันทึกวาจาและแผนผังแสดงที่ตั้งหลักเขตแดนที่ 42 และ 43 เป็นบันทึกของข้าหลวงปักหลักเขตแดนระหว่างประเทศสยามกับอินโดจีนของฝรั่งเศส จัดทำขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1908–1909โดยใช้ต้นไม้หรือเสาไม้ติดแผ่นโลหะเป็นหลักเขตแดน ต่อมาในปี ค.ศ. 1919–1920 ได้เปลี่ยนเป็นหลักคอนกรีตทดแทน ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับหลักไม้หรือเสาไม้เดิม โดยในแผนผังแสดงที่ตั้งหลักเขตแดนของบันทึกวาจาทั้งสองห้วง ได้กำหนดแนวเขตแดนเป็นเส้นตรงระหว่างหลักที่ 42 และ 43 โดยแนวเส้นตรงดังกล่าวผ่านกึ่งกลางของหลักเขตแดนทั้งสองอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ กองทัพไทยขอยืนยันว่า บ้านหนองหญ้าแก้ว(บ้านไปรจัน) อยู่ในเขตอธิปไตยของไทย
ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อนที่เกิดจากความแตกต่างของการลากเส้นตรงระหว่างหลักเขตแดนที่ 42 และ 43
การดำเนินการทั้งหมด เป็นไปตามกระบวนการ และหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ได้รับการรับรองร่วมกันแล้ว ภายใต้บันทึกความเข้าใจ (MOU 2543) และการหารือในระดับคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา (JBC) อย่างต่อเนื่อง”
การดำเนินการครั้งนี้ จะได้เป็นเส้นอ้างอิงที่กัมพูชาไม่อาจเพิกเฉยได้อีกต่อไปว่าจะต้องอพยพคนของตนออกไปจากส่วนที่รุกล้ำอย่างไร
สารส้ม

‘อบต.เหล่าหมี มุกดาหาร’จัดงานลอยกระทง งดพลุ แสง สี เสียง
‘นายกฯอนุทิน’ตอบเอง หลังชาวเน็ตโฟกัส‘ซิป’ งานนี้ฮาไม่เบา
วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานี แปลอักษรถวายความอาลัย'สมเด็จพระพันปีหลวง'
ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก‘อบต.นาฝาย ชัยภูมิ’นำเด็กฝึกทำกระทงใบตอง ลดค่าใช้จ่ายวันลอยกระทง
ส่งผ่าพิสูจน์! 'โลมาลายแถบ'เกยตื้นตาย'ชายหาดบาสัก' พบมีบาดแผลถลอก

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี