เปรียบรัฐบาลชุดนี้ ก็เหมือนเรือเพิ่งจะเริ่มออกจากฝั่ง มีกัปตันชื่อ“อนุทิน ชาญวีรกูล” ซึ่งไม่ใช่“มือใหม่หัดขับ”หรือต้องมีพี่เลี้ยงคอยฝึกงาน และไม่ต้องใช้ไอแพดเป็นสมอง
ฟังและเห็นจากที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล ให้สัมภาษณ์เรื่องทิศทางนโยบาย รวมทั้งความกระตือรือร้นเอาการเอางาน จากการลง“หน้างาน”ถนนทรุดบริเวณหน้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล ทั้งรอบเช้าและรอบดึกซึ่งทั้งฟังและเห็นภาพแล้วก็อุ่นใจ ว่ารัฐนาวาลำนี้ น่าจะฝ่าคลื่นลมไปได้อย่างตรงทิศตรงทาง
นายอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะนายกรัฐมนตรีของราชอาณาจักรไทย ที่มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นองค์ประมุขของประเทศ ไม่อ้อมแอ้มอ้ำอึ้งแบบแทงกั๊ก ชนิดที่“สู้ไปกราบไป” โดยได้กล่าวชัดเจนจากการแถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อคืนวันที่24 กันยายนที่ผ่านมาว่า
“การประชุมครม.นัดพิเศษในวันนี้ พวกเราทุกคนได้รับพรอันประเสริฐจากฟากฟ้า และมีความปลื้มปิติรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาที่คุณ ที่ได้รับพระราชทานกำลังพระทัยจากองค์พระประมุข พวกเราทุกคนพร้อมและมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง เต็มใจทุ่มเทที่จะรับราชการบริหารราชการแผ่นดินสนองพระเดชพระคุณ สนองพระมหากรุณาธิคุณ และตอบสนองประชาชนชาวไทยทุกคน นับจากวินาทีนี้เป็นต้นไป”
ชัดเจนที่สุดก็คือ ประเทศไทยดำรงอยู่ได้ก็เพราะเรามีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเสาหลัก และมีพระพุทธศาสนารวมทั้งศาสนาอื่นๆเป็นที่เหนี่ยวรั้งจิตใจ โดยมีประชาชนเป็นองค์ประกอบของชาติ จึงทำให้บ้านเมืองของเราอยู่มาได้อย่างมีเอกราชและอธิปไตย ตลอดจนมีวัฒนธรรมและประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของเราตราบจนถึงทุกวันนี้
เราประชาชนคนไทยทุกคนควรจะภาคภูมิใจและรู้สึกหวงแหนแผ่นดินนี้ อันเป็นเกียรติภูมิอันยิ่งใหญ่ที่บรรพชนของเราได้ต่อสู้ และรักษาไว้ด้วยชีวิตจนกระทั่งสืบต่อๆกันมา และนี่คือ“ความรักชาติ”ไม่ใช่“คลั่งชาติ”เช่นที่พวก“ชังชาติ”หยิบมือหนึ่ง ซึ่งสับสนและมึนงงกับชีวิตไปคลั่งไคล้หลงใหลกับ“ประชาธิปไตยจอมปลอม”ของฝรั่งตะวันตก มักจะใช้คำนี้มาด้อยค่าคนที่คิดเห็นต่าง
อย่างไรก็ตาม เราเสียเวลาไป 2 ปีกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่ทำให้บ้านเมืองวิบัติฉิบหาย เสียดายโอกาสดีๆ ที่ผ่านเลยมา ซึ่งประเทศไทยสามารถฝ่า“วิกฤตโควิด19”มาได้ จากการบริหารจัดการของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ได้รับการยอมรับจาก“ยูเอ็น”และองค์การอนามัยโลก(WHO) โดยที่ไม่สาหัสสากรรจ์เหมือนประเทศต่างๆ จนเศรษฐกิจเริ่มจะฟื้นตัว ทั้งจากการค้าการลงทุน และการท่องเที่ยว
แต่พอเมื่อพรรคเพื่อไทยเข้ามาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ กลับไม่ยอมสานต่อโครงการดีๆ หลายต่อหลายโครงการที่ค้างคาจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา หรือแม้แต่การสานต่อกับประเทศซาอุดิอาระเบีย ที่เราสามารถฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตให้กลับสู่ระดับปกติได้ ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ หลังจากขาดสะบั้นกันมากว่า 30 ปี
เรื่องนี้ก็ไม่เคยเห็นว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะทำ ทั้งที่ซาอุดิอาระเบียมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ภายใต้“วิสัยทัศน์ 2030” ในการปฏิรูปประเทศ โดยมีวงเงินมากว่า 2ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งประเทศไทยอยู่ในวิสัยที่จะคว้าโอกาสนี้ได้ ทั้งด้านแรงงาน และการค้าการลงทุน แต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยโดยการ“ชักใย”ของนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ก็ปล่อยให้ผ่านเลยไปอย่างน่าเสียดาย
ภาพที่เห็นใน 2 ปีที่ผ่านมา ก็คือ นายเศรษฐา ทวีสิน เดินสายเวิลด์ทัวร์ประกาศตัวเป็นเซลส์แมนเบอร์หนึ่งของประเทศไทย ไปเร่ขาย“ผ้าไทย”โดยมีผ้าขาวม้าคล้องคอ ซึ่งเพียงแค่ปีเดียวในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐาถลุงเงินแผ่นดินไปมากกว่า 1พันล้านบาท จากการเดินสายต่างประเทศ โดยอ้างว่าจะไปเชิญชวนนักลงเข้ามาลงทุนในประเทศ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เช่นเดียวกับ“แพทองธาร ชินวัตร” ผลาญเงินเพื่อใช้สำหรับ“ซอฟต์พาวเวอร์”ไป 5 พันกว่าล้านบาท ปรากฏว่าไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันให้เห็นเลย ซึ่งรวมเบ็ดเสร็จ 2ปีรัฐบาลพรรคเพื่อไทย สูญเงินเรื่อง“ซอฟต์พาวเวอร์”ไป 8 พันกว่าล้านบาท
4 เดือนนับจากนี้ของรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล หลังจากแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเสร็จสิ้น และเริ่มปฏิบัติหน้าที่ได้ตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไป จากนั้นก็จะมีการยุบสภาฯภายในเดือนมกราคมปีหน้า ก่อนจะมีการเลือกตั้ง สส.ประมาณปลายเดือนมีนาคม หรือต้นเดือนเมษายน2569 เราคงจะได้เห็นว่า 4 เดือนของรัฐบาลนายอนุทิน เมื่อเทียบกับ 2ปีรัฐบาลเพื่อไทยที่มีนายกรัฐมนตรี“อ่อนหัด” 2คนนั้น..ประเทศไทยเหมือน“ฟ้ากับเหว” หรือ“สวรรค์กับนรก”
ที่พูดอย่างนั้นก็เพราะ ดูจากนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ภายใต้ระยะเวลาอันจำกัด ในการแก้ไขปัญหา 4ด้าน ที่เป็นทิศทางการบริหารประเทศไทย ซึ่งมีภาพชัดเจนในการที่จะนำพา“รัฐนาวา”ฝ่าคลื่นลมไปสู่เป้าหมาย คือ“ประชาชนอยู่ดีมีสุข” และ“ประเทศชาติชาติมั่นคงยั่งยืน”
4 ด้านมีอะไรบ้าง อันเป็นสัญญาประชาคมของรัฐบาลยนายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่ไม่ใช่วาทกรรมเพ้อเจ้อ ที่คนไทยได้ยินมาแล้ว ว่าประชาชนและประเทศชาติจะ“มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี”
1.ปัญหาเศรษฐกิจ ลดรายจ่าย ลดค่าครองชีพให้แก่ประชาชน ด้วยโครงการคนละครึ่ง ลดค่าเดินทาง ค่าขนส่ง และค่าพลังงาน สนับสนุนให้ประชาชนใช้พลังงานทดแทนได้มากขึ้น สะดวกขึ้น ง่ายขึ้น
2.ปัญหาความมั่นคง กรณีพิพาท ไทย-กัมพูชา รัฐบาลจะดำเนินมาตรการทางการทูตควบคู่มาตรการทางทหาร เพื่อรักษาอธิปไตยของประเทศไทย และรักษาประโยชน์ของประชาชนไทย
3.ปัญหาภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติ นอกจากจะต้องเร่งรัดทำระบบเตือนภัย ป้องกันภัย จะต้องปรับปรุงระบบ มาตรการการดูแลช่วยเหลือประชาชนอย่างรวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์ ซึ่งจะต้องแก้กฎระเบียบ หลักเกณฑ์ต่างๆ ให้เจ้าหน้าที่รัฐดำเนินการได้สะดวกคล่องตัว แก้ปัญหาให้ประชาชนเร็วที่สุด และถูกต้องตามกฎหมาย ป้องกันการรั่วไหลหรือการทุจริตคอร์รัปชัน
และ4.ปัญหาภัยสังคม รัฐบาลจะดำเนินการปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด การพนัน การพนันออนไลน์ สแกมเมอร์ เครือข่ายฉ้อโกงประชาชนขนาดใหญ่ ที่สร้างความเสียหายแก่ประชาชนเป็นจำนวนมาก และเป็นภัยทางเศรษฐกิจอย่างจริงจัง รวมทั้งดำเนินการทางวินัยและกฎหมายกับเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อย่างเด็ดขาด โดยให้ออกจากราชการไว้ก่อน แล้วตามด้วยการดำเนินคดีอาญาทุกกรณี
สรุปก็คือ ถ้ารัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูล มุ่งมั่นตั้งใจลงมือทำอย่างสุดความสามารถ แค่ 4 เดือนกับนโยบายเร่งด่วน 4 ด้านที่ว่านั้น เชื่อว่า ยุบสภาฯเลือกตั้งวันไหน-แลนด์สไลด์แน่นอน !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี